TEMU แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ขนาดใหญ่ ที่กำลังมาแรง โดยมีต้นกำเนิดจากประเทศจีน บริษัทแม่คือ PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลก TEMU ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากผู้บริโภคทั่วโลกด้วยเหตุผลหลักคือ ราคาสินค้าที่ถูกมาก และ ความหลากหลายของสินค้า ที่มีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่สินค้าประจำวันไปจนถึงสินค้าแฟชั่นและของใช้ในบ้าน

TEMU ได้เข้ามาป่วนตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยอย่างมาก ด้วยโมเดลธุรกิจที่เน้นราคาถูกและสินค้าหลากหลาย ทำให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทายแก่ผู้ประกอบการไทยและผู้บริโภค มาดูกันว่า TEMU มีผลกระทบต่อตลาดไทยอย่างไรบ้าง
การเข้ามาของ TEMU ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย
แพลตฟอร์ม TEMU ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ Pinduoduo ได้เข้ามารุกตลาดอีคอมเมิร์ซไทย โดยขนสินค้าจากทั่วโลกมาวางจําหน่าย ทําการตลาดลดราคาสินค้าถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งสร้างแรงจูงใจให้คนไทยควักกระเป๋าจ่ายโดยไม่ยั้งคิด การเข้ามาของ TEMU ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการไทยนานแล้ว และการเพิ่มขึ้นคงไม่ส่งผลกระทบมากไปกว่าที่มีอยู่จากเดิม แต่ครั้งนี้กระทบกับเอสเอ็มอีไทยที่ซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มนี้
Temu เป็นเจ้าของเดียวกับ Pinduoduo ซึ่งทั้งคู่เป็นแบรนด์ในเครือ PDD Holding. PDD Holding วางให้ Temu ตีตลาดในต่างประเทศ ส่วน Pinduoduo ทำการตลาดในประเทศจีน ปัจจุบัน PDD Holding จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งในปี 2015 และสามารถ IPO เมื่อปี 2018
ข้อมูลเกี่ยวกับ TEMU แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส ออนไลน์ ได้ทดลองสั่งซื้อสินค้าใน TEMU พบว่า ราคาสินค้ามีความหลากหลาย ตั้งแต่หลัก 10 บาท จนถึงถึงหลัก1,000 บาท และมีลดส่วนตั้งแต่ 50 – 90 % โดยได้ทดลองสั่งซื้อ สินค้ามา 5 ชิ้น ราคารวมทั้งหมด 1,067 บาท ได้ส่วนลดไป 679 บาท จ่ายจริงเพียง 388 บาท และพบว่ามีการจัดส่งฟรี หากสินค้มีปัญหาทาง TEMU คืนเงินบางส่วนให้ โดยไม่ต้องส่งสินค้ากลับคืน ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ ดึงดูดขาชอปได้เป็นอย่างดี
ผลกระทบต่อตลาดอีคอมเมิร์ซไทย
ข้อมูลจาก สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ETDA รายงานผลการสํารวจ Value of e-Commerce Survey in Thailand 2023 พบว่า ปี 2565 มูลค่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีมูลค่าถึง 5.43 ล้านล้านบาท โดยกลุ่ม B2C ครองแชมป์กินสัดส่วนมากสุด ส่วนช่องทางการขายยอดฮิตหนีไม่พ้น e-Marketplaces และ Social Commerce ส่งผลให้ปี 2566 มูลค่าพุ่งถึง 5.96 ล้านล้านบาท
กลยุทธ์หลักของ Temu
การตัดคนกลาง: Temu เชื่อมต่อผู้บริโภคโดยตรงกับผู้ผลิต ซึ่งช่วยลดต้นทุนและทำให้สามารถเสนอราคาที่ต่ำมากได้ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
การช้อปปิ้งแบบเล่นเกม: Temu เปลี่ยนการช้อปปิ้งให้กลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน โดยมีการจัดกิจกรรมเช่น การหมุนวงล้อเพื่อรับรางวัลและส่วนลด ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากขึ้น
การใช้ AI ในการตลาด: แอปพลิเคชันของ Temu ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมและความชอบของผู้บริโภค ทำให้สามารถแสดงสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ
การตลาดเชิงรุก: Temu ลงทุนจำนวนมากในการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียและเสนอโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้าใหม่
จุดแข็งของ TEMU ที่เข้ามา disrupt ตลาดไทย
- ราคาถูกมาก: สินค้าส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาใช้บริการ
- สินค้าหลากหลาย: มีสินค้าให้เลือกมากมาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้กว้าง
- โปรโมชั่นบ่อย: มีโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี
- การตลาดที่แข็งแกร่ง: TEMU ใช้กลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง: โมเดลธุรกิจที่เน้นการลดต้นทุน ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าราคาถูกได้อย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกในไทย
การเข้ามาของ Temu ทำให้ผู้ค้าปลีกในไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากราคาสินค้าที่ต่ำของ Temu อาจบังคับให้ผู้ค้าปลีกอื่นๆ ต้องลดราคาหรือเสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้า นอกจากนี้ การขยายตัวของ Temu ยังอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานแบบดั้งเดิมในไทย
Temu มุ่งหวังที่จะปฏิวัติโลกอีคอมเมิร์ซในไทยด้วยกลยุทธ์ที่เน้นราคาที่ต่ำและประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน โดยมีการใช้เทคโนโลยีและการตลาดที่ก้าวหน้า ซึ่งอาจทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต


์
ทีมงาน Nich PR ได้เข้าไปดูในเว็บไซต์แล้ว โดยรวมเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิช ทั่วไป แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือเริ่มมีผู้ใช้คนไทยเข้าไปเป็นลูกค้า และรีวิวสินค้าแล้ว ซึ่งการรีวิวถือเป็นจุดแข็งที่เปิดให้รีวิวทั้งตัวสินค้า และผู้ผลิต และที่สำคัญได้มีผู้เชี่ยวชาญได้ออกมากล่าวว่า “มีการให้ข้อมูล สินค้าและลูกค้า แก่ผู้ผลิต เพื่อการวิเคราะห์และปรับปรุงสินค้า” เรียกได้ว่า TEMU ใช้ทั้ง AI และ Data Sci เลยทีเดียว
Leave a Reply