RAG และ Fine-tuning สำหรับการสร้าง Knowledge AI ขององค์กร ปี 2025

ภาพ แผนภาพเปรียบเทียบ RAG และ Fine-Tuning ลักษณะรูปภาพ: แบ่งหน้าจอเป็นสองส่วน
Nich PR Group Avatar

ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์กรหลายแห่งกำลังมองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการปรับแต่งโมเดล AI เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านได้ดียิ่งขึ้น เทคนิคที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Retrieval Augmented Generation (RAG) และ Fine-Tuning ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ได้แก่

  1. Retrieval-Augmented Generation (RAG)
  2. Fine-tuning (การปรับแต่งโมเดล)

ทั้งสองเทคนิคมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะเปรียบเทียบแนวทางทั้งสองเพื่อช่วยให้องค์กรเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับความต้องการ มาเริ่มด้วยการทำความเข้าใจกับเทคนิค RAG และ Fine-tuning

Retrieval-Augmented Generation (RAG)

RAG เป็นเทคนิคที่พัฒนาโดย Facebook AI (ปัจจุบันคือ Meta AI) ซึ่งใช้ retrieval-based approach เพื่อดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากฐานความรู้ (knowledge base) หรือเอกสารที่จัดเก็บไว้ แล้วนำข้อมูลที่เรียกคืนได้มาใช้เป็นบริบทสำหรับการสร้างข้อความโดยโมเดลภาษาขั้นสูง (เช่น GPT) ซึ่ง RAG เป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโมเดล AI โดยการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอกในขณะที่สร้างข้อความ โดยไม่ต้องฝึกโมเดลใหม่ทุกครั้งเมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา เทคนิคนี้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการข้อมูลที่อัปเดตบ่อย เช่น ระบบ Q&A ที่อิงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารล่าสุด

หลักการทำงานของ RAG

  1. Retrieval (การดึงข้อมูล)
    • โมเดลจะค้นหาเอกสารที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลที่กำหนด
  2. Augmentation (การเสริมข้อมูล)
    • นำข้อมูลที่ได้มาป้อนเป็นอินพุตเสริมให้กับโมเดล
  3. Generation (การสร้างคำตอบ)
    • โมเดลประมวลผลข้อมูลจาก retrieval และใช้ในการสร้างคำตอบที่สอดคล้องกับคำถาม

ตัวอย่างการใช้งาน RAG

  • ระบบ Chatbot ที่สามารถเข้าถึงเอกสารขององค์กรได้ เช่น คู่มือพนักงาน, เอกสารทางกฎหมาย
  • การสืบค้นข้อมูลเชิงลึก เช่น คำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องอ้างอิงจากฐานข้อมูล

Fine-tuning

Fine-Tuning คือกระบวนการปรับแต่งโมเดล LLM ที่ผ่านการฝึกมาเบื้องต้นแล้ว (pre-trained model) โดยใช้ข้อมูลเฉพาะด้านเพื่อให้โมเดลเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับบริบทเฉพาะขององค์กร ช่วยให้โมเดลสามารถเข้าใจเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงและมีบริบทขององค์กรมากขึ้น และเชี่ยวชาญในงานนั้นๆ เทคนิคนี้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงในด้านเฉพาะ เช่น การแพทย์หรือกฎหมาย

หลักการทำงานของ Fine-tuning

  1. เตรียมข้อมูล
    • รวบรวมและทำความสะอาดข้อมูลที่ต้องการใช้ฝึกโมเดล
  2. ฝึกโมเดล (Training)
    • นำโมเดลพื้นฐาน (เช่น GPT, BERT) มาฝึกด้วยข้อมูลขององค์กร
  3. ปรับแต่งและทดสอบ
    • ปรับค่าพารามิเตอร์ของโมเดล และทดสอบความแม่นยำในการให้คำตอบ

ตัวอย่างการใช้งาน Fine-tuning

  • โมเดล AI สำหรับวิเคราะห์เอกสารทางกฎหมายเฉพาะของบริษัท
  • Chatbot ที่สามารถตอบคำถามเฉพาะขององค์กร เช่น นโยบายภายใน, ข้อมูลทางเทคนิค
เปรียบเทียบ RAG และ Fine-tuning

เปรียบเทียบ RAG และ Fine-tuning

คุณสมบัติRAGFine-tuning
ความยืดหยุ่นของข้อมูลสามารถใช้ข้อมูลล่าสุดได้ตลอดเวลาต้องอัปเดตโมเดลเมื่อมีข้อมูลใหม่
ค่าใช้จ่ายและทรัพยากรค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ไม่ต้องฝึกโมเดลใหม่ต้องใช้ทรัพยากรมากในการฝึกและอัปเดต
ความแม่นยำของคำตอบขึ้นอยู่กับคุณภาพของฐานข้อมูลที่ใช้ดึงข้อมูลมีความแม่นยำสูงเมื่อฝึกด้วยข้อมูลเฉพาะทาง
ความสามารถในการตอบคำถามเฉพาะทางอาจมีข้อจำกัดหากฐานข้อมูลไม่ครอบคลุมตอบคำถามเฉพาะทางได้ดีเมื่อฝึกอย่างเหมาะสม
ความเร็วในการใช้งานอาจช้ากว่าเนื่องจากต้องดึงข้อมูลก่อนตอบทำงานได้เร็วขึ้นเมื่อโมเดลถูกฝึกมาอย่างดี
การบำรุงรักษาบำรุงรักษาง่ายกว่า แค่ปรับฐานข้อมูลต้องฝึกโมเดลใหม่เมื่อมีข้อมูลใหม่

ตารางเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ RAG และ Fine-Tuning

ข้อดีของ RAG:

  • ไม่ต้องฝึกโมเดลใหม่: ประหยัดเวลาและทรัพยากร
  • ข้อมูลทันสมัย: สามารถดึงข้อมูลล่าสุดจากแหล่งข้อมูลภายนอกมาใช้ได้
  • โปร่งใส: สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลได้

ข้อเสียของ RAG:

  • ต้องการระบบดึงข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ: หากระบบดึงข้อมูลไม่ดี อาจได้ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง
  • อาจตอบคำถามนอกเหนือจากข้อมูลที่ดึงมาไม่ได้: จำกัดขอบเขตการทำงาน

ข้อดีของ Fine-Tuning:

  • ประสิทธิภาพสูง: โมเดลที่ผ่านการ Fine-Tuning จะทำงานได้ดีกว่าในงานเฉพาะทาง
  • ปรับแต่งได้ตามต้องการ: สามารถปรับปรุงโมเดลให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของเรา

ข้อเสียของ Fine-Tuning:

  • ใช้ทรัพยากรมาก: ต้องใช้เวลาและพลังการคำนวณสูง
  • ข้อมูลต้องมีคุณภาพ: หากข้อมูลที่ใช้ฝึกมีปัญหา จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของโมเดล
  • เสี่ยงต่อการเกิด Overfitting: โมเดลอาจทำงานได้ดีเฉพาะกับข้อมูลที่ฝึก แต่ทำงานได้ไม่ดีกับข้อมูลใหม่

เมื่อใดควรใช้ RAG

  • ต้องการ AI ที่อัปเดตข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ข้อมูลที่ทันสมัย(เช่น ข่าวสาร, ข้อมูลผลิตภัณฑ์ล่าสุด)
  • ระบบต้องรองรับการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลบ่อยๆ โดยไม่ต้องฝึกโมเดลใหม่
  • องค์กรมีฐานข้อมูลเอกสารขนาดใหญ่และต้องการให้ AI สามารถเข้าถึงได้
  • เมื่อมีทรัพยากรจำกัดสำหรับการฝึกโมเดลใหม่
  • เมื่อต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบแหล่งที่มาได้

ตัวอย่าง: บริษัทที่ต้องการให้พนักงานเข้าถึงคู่มือการทำงานแบบอัตโนมัติ โดยใช้ AI ที่สามารถค้นหาและสรุปข้อมูลจากเอกสารขององค์กร

การพัฒนาสถาปัตยกรรม RAG เป็นงานที่ซับซ้อนสำหรับทีมข้อมูลของคุณ และจำเป็นต้องมีการพัฒนาไปป์ไลน์ข้อมูลเพื่อรองรับข้อมูลบริบทที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งเสริม LLM แต่เมื่อทำอย่างถูกต้อง RAG จะสามารถเพิ่มมูลค่าอันน่าทึ่งให้กับผลิตภัณฑ์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้




เมื่อใดควรใช้ Fine-tuning

  • ต้องการให้ AI มีความแม่นยำสูงในการตอบคำถามเฉพาะทาง
  • องค์กรมีชุดข้อมูลที่เป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถใช้การค้นคืนข้อมูลได้เพียงอย่างเดียว
  • ต้องการให้ AI ทำงานได้รวดเร็วโดยไม่ต้องดึงข้อมูลจากภายนอก
  • เมื่อมีข้อมูลเฉพาะทางที่มีคุณภาพและเพียงพอ
  • เมื่อมีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญในการฝึกโมเดล

ตัวอย่าง: สถาบันการแพทย์ที่ต้องการ AI วิเคราะห์เวชระเบียนของผู้ป่วย โดยใช้โมเดลที่ฝึกด้วยข้อมูลเฉพาะของโรงพยาบาล

การเลือกใช้ RAG หรือ Fine-tuning ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร

  • RAG เหมาะกับ ระบบที่ต้องการข้อมูลล่าสุดและเปลี่ยนแปลงบ่อย
  • Fine-tuning เหมาะกับ ระบบที่ต้องการความแม่นยำสูงและมีข้อมูลเฉพาะทาง
  • การใช้ RAG ควบคู่กับ Fine-tuning เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในหลายกรณี

องค์กรควรพิจารณาถึง ต้นทุน, ทรัพยากร, และความต้องการทางธุรกิจ ก่อนตัดสินใจเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนา Knowledge AI

การปรับแต่งอย่างละเอียดเกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม LLM บนชุดข้อมูลที่เล็กกว่า เฉพาะทาง และมีป้ายกำกับ และการปรับพารามิเตอร์ของโมเดลและการฝังตามข้อมูลใหม่ ด้วยการจัดตำแหน่งโมเดลให้สอดคล้องกับความแตกต่างและคำศัพท์เฉพาะทางของโดเมนเฉพาะ การปรับแต่งอย่างละเอียดจะช่วยให้โมเดลทำงานได้ดีขึ้นสำหรับงานที่เฉพาะเจาะจง

RAFT ใช้ RAG ร่วมกับ Fine-tuning

การใช้ทั้งสองเทคนิคร่วมกันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง Knowledge AI ได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น การใช้ Fine-Tuning เพื่อปรับโมเดลให้เหมาะสมกับสไตล์ขององค์กร และนำ RAG มาใช้เพื่อดึงข้อมูลล่าสุด ทำให้ผลลัพธ์ทั้งตรงประเด็นและทันสมัยโดยไม่ต้องฝึกโมเดลซ้ำบ่อย ๆ ในหลายกรณี องค์กรอาจเลือกใช้ RAG และ Fine-tuning ควบคู่กัน เพื่อให้ได้ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

RAFT (Retrieval-Augmented Fine-Tuning) เป็นแนวทางที่รวมข้อดีของ RAG (Retrieval-Augmented Generation) และ Fine-Tuning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโมเดล AI โดยเฉพาะในด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)

แนวทางการผสมผสาน

  • ใช้ Fine-tuning สำหรับการปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจภาษาขององค์กร
  • ใช้ RAG เพื่อให้ AI สามารถค้นคืนข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและครบถ้วน

ตัวอย่างการใช้งานร่วมกัน

  • Chatbot ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า: Fine-tune โมเดลให้เข้าใจภาษาของแบรนด์ และใช้ RAG เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ล่าสุด
  • AI สำหรับนักกฎหมาย: Fine-tune ให้เข้าใจภาษากฎหมาย และใช้ RAG เพื่อดึงข้อมูลจากกฎหมายหรือคดีที่เกี่ยวข้อง

หลักการของ RAFT

RAFT เป็นวิธีการที่ช่วยให้ โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถเรียนรู้ข้อมูลใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ การดึงข้อมูล (Retrieval) มาช่วยปรับแต่งโมเดล (Fine-Tuning) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำขึ้น

หลักการของ RAFT สามารถแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลัก:

  1. Retrieval → ดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลหรือเอกสารภายนอก
  2. Fine-Tuning → ปรับแต่งโมเดลโดยใช้ข้อมูลที่ได้จาก Retrieval

RAFT แตกต่างจาก RAG และ Fine-Tuning อย่างไร?

วิธีการข้อดีข้อเสีย
Fine-Tuningโมเดลจดจำข้อมูลได้ดีในระยะยาวต้องใช้ทรัพยากรสูง และอาจมีปัญหาด้านความปลอดภัย
RAGสามารถอัปเดตข้อมูลได้แบบเรียลไทม์บางครั้งข้อมูลที่ดึงมาอาจไม่สอดคล้องกับคำถาม
RAFTใช้ข้อมูล Retrieval เพื่อปรับแต่งโมเดล ทำให้ได้คำตอบที่แม่นยำขึ้นและอัปเดตข้อมูลได้เรื่อย ๆยังอยู่ในช่วงพัฒนาและต้องมีการจัดการข้อมูลให้ดี

แนวทางการผสมผสาน RAG + Fine-Tuning

1️⃣ ใช้ Fine-Tuning เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจความรู้เฉพาะทางขององค์กร

  • ฝึกโมเดลด้วยชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือองค์กรของคุณ
  • ตัวอย่างเช่น โมเดลที่เข้าใจศัพท์เทคนิคของวิศวกรรม, กฎหมาย หรือการแพทย์
  • โมเดลที่ผ่านการ Fine-Tuning จะสามารถสร้างคำตอบที่แม่นยำยิ่งขึ้น

2️⃣ ใช้ RAG เพื่อดึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและอ้างอิงได้

  • เชื่อมต่อ AI เข้ากับฐานข้อมูลขององค์กร (เช่น เอกสาร, รายงาน, คู่มือการใช้งาน)
  • เมื่อมีคำถามที่ต้องใช้ข้อมูลล่าสุด ระบบ RAG จะช่วยดึงข้อมูลมาใช้เป็นบริบท
  • ลดปัญหาข้อมูลล้าสมัยและช่วยให้ AI สามารถให้ข้อมูลที่อัปเดตได้เสมอ

3️⃣ ออกแบบ Workflow ที่เหมาะสม

  • ขั้นตอนที่ 1: รับคำถามจากผู้ใช้
  • ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบว่า AI สามารถตอบได้จากโมเดลที่ Fine-Tune หรือไม่
  • ขั้นตอนที่ 3: หากข้อมูลไม่เพียงพอ ให้ใช้ RAG ดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูล
  • ขั้นตอนที่ 4: ผสานข้อมูลจากโมเดลและฐานข้อมูล เพื่อสร้างคำตอบที่ดีที่สุด

🎯 สรุป

Fine-Tuning เหมาะสำหรับฝึกให้ AI เข้าใจเนื้อหาเฉพาะทางขององค์กร
RAG เหมาะสำหรับดึงข้อมูลที่อัปเดตและอ้างอิงได้
การผสมผสาน RAG + Fine-Tuning ทำให้ AI ฉลาดขึ้น ตอบได้แม่นยำขึ้น และอัปเดตข้อมูลได้ตลอดเวลา

NichPR หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้ จะชี้ทางกระจ่างในการเลือกใช้ AI สำหรับองค์กรได้

Tagged in :

Nich PR Group Avatar

Nich PR

Page

ยกระดับธุรกิจด้วย Digital Marketing Innovation และการประยุกต์ใช้ AI และ SEO Solutions ที่คู่แข่งตามไม่ทัน! เว็บไซต์เพิ่มการติดอันดับและส่วนแบ่งการตลาดแข่งขันสูง มั่นคง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเสริมสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง เพื่อเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง ร่วมเปลี่ยนแปลงอนาคตธุรกิจของคุณกับเรา วันนี้!