AI Fakery และ Deepfake ความลวงที่แตกต่าง

da Vinci's Mon Lisa
Nich PR Group Avatar

ทุกสิ่ง ทุกอย่าง มีทั้งคุณและโทษ AI ก็มีเช่นกัน

ในขณะที่ทีมผู้พัฒนา AI ก็ได้สร้าง AI มากขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ จำสามารถทำงานบางอย่างแทนมนุษย์ได้ ในขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่ง ซึกที่กังวลถึง “คุณธรรม จริยธรรม” ที่ปัญญาประดิษฐ์ อาจยังมีข้อจำกัดอยู่ และมีการถกเถียงกันในสังคม ดังจะเห็นได้จากการรายงานของ BBC ที่พาดหัวข้อข่าว The racist AI deepfake that fooled and divided a community ดังรูป

ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความเหมือน ความแตกต่างของ 2 คำนี้

หากจะอธิบายแบบสั้น ๆ คือเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี AI แต่มีความแตกต่างกันในด้านการใช้งานและประเภทของเนื้อหาที่สร้างขึ้น:

  1. Deepfake: หมายถึงการใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อสร้างหรือแก้ไขวิดีโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนใบหน้าของคนในวิดีโอให้เหมือนกับอีกคนหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้ในทางที่สร้างสรรค์หรือเป็นอันตราย เช่น การทำให้คนดังพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พูดจริง ๆ
  2. AI Fakery: เป็นคำที่กว้างกว่า ซึ่งอาจหมายถึงการใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาปลอมหรือบิดเบือนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือข้อความ โดยไม่จำกัดเฉพาะวิดีโอ เช่น การสร้างภาพปลอม การเขียนบทความปลอม หรือการสร้างเสียงที่เลียนแบบคนจริง

โดยรวมแล้ว Deepfake เป็นหนึ่งในประเภทของ AI Fakery โดยที่ Deepfake จะเฉพาะเจาะจงในด้านวิดีโอ แต่ AI Fakery มีขอบเขตที่กว้างกว่าและรวมถึงการปลอมแปลงในหลายรูปแบบ.

AI Fakery และ Deepfake
AI Fakery และ Deepfake

AI fakery หมายถึงอะไร

หมายถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างหรือปลอมแปลงข้อมูลหรือสื่อ โดยมีเจตนาให้ดูเหมือนจริงเพื่อหลอกลวง หรือทำให้ผู้รับสารเข้าใจผิด ซึ่ง AI fakery ครอบคลุมการสร้างข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น การปลอมแปลงภาพ วิดีโอ เสียง หรือแม้กระทั่งข้อมูลข้อความ โดยเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์จะถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้อย่างแนบเนียนจนยากต่อการตรวจจับความผิดปกติ

ตัวอย่างของ

ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่:

  1. Deepfake: การใช้ AI สร้างวิดีโอที่ทำให้บุคคลปรากฏตัวหรือพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน ตัวอย่างเช่น มีการปลอมแปลงวิดีโอที่มีภาพของนักการเมืองพูดเนื้อหาที่ไม่เคยพูดจริง ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบทางการเมืองหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด
  2. AI-generated text: การใช้ AI สร้างบทความหรือข่าวปลอมที่ดูเหมือนเขียนขึ้นโดยมนุษย์ ตัวอย่างเช่น AI ถูกใช้เพื่อสร้างข่าวปลอม (Fake News) หรือรีวิวปลอมในเว็บไซต์ต่างๆ โดยเจตนาหลอกให้ผู้อ่านเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาอ่านเป็นเรื่องจริง
  3. Synthetic voice: AI สามารถจำลองเสียงของบุคคลได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ AI สร้างเสียงของบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อทำให้ดูเหมือนพวกเขาพูดหรือสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พูดจริง ซึ่งอาจใช้ในโฆษณาหลอกลวงหรือการปลอมแปลงข้อมูล

Deepfake หมายถึงอะไร

Deepfake หมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะเทคนิค Generative Adversarial Networks (GANs) ในการสร้างหรือดัดแปลงวิดีโอ ภาพ หรือเสียง เพื่อให้บุคคลในวิดีโอนั้นปรากฏหรือพูดสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพูดหรือทำในความเป็นจริง โดยใช้การวิเคราะห์และสร้างภาพหรือเสียงใหม่จากข้อมูลต้นแบบ เช่น การนำใบหน้าใครบางคนไปใส่ในร่างของคนอื่น หรือทำให้ปากขยับตรงกับคำพูดที่ไม่ได้พูดจริง

คำว่า Deepfake มาจากการรวมคำว่า Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา AI และ Fake (ปลอม) หมายถึงการปลอมแปลงหรือสร้างสิ่งที่ไม่เป็นความจริง

ตัวอย่างของ

  1. การปลอมแปลงใบหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียง: ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดของ Deepfake คือการปลอมแปลงใบหน้าของดาราหรือบุคคลสำคัญในวิดีโอที่ไม่ใช่ของจริง เช่น การทำวิดีโอที่ใช้ใบหน้าของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพูดจริง ๆ สิ่งนี้สามารถส่งผลกระทบต่อการเมืองและการรับรู้ของประชาชนได้ ตัวอย่างหนึ่งคือวิดีโอปลอมของประธานาธิบดีสหรัฐที่พูดถึงนโยบายที่ไม่เคยถูกกล่าวออกมาจริง
  2. วิดีโอปลอมในวงการบันเทิง: ในบางครั้ง Deepfake ถูกใช้ในเชิงบันเทิงหรือการสร้างสรรค์ เช่น การปลอมแปลงใบหน้าของนักแสดงคนหนึ่งในภาพยนตร์เก่า หรือการสร้างวิดีโอที่นำใบหน้าของคนดังไปใส่ในร่างของตัวละครที่พวกเขาไม่เคยแสดง อย่างในวิดีโอที่ทำให้ดูเหมือน Tom Cruise พูดคุยหรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่เขาไม่เคยทำ ซึ่งแพร่หลายมากบนแพลตฟอร์ม TikTok
  3. การใช้ ในอาชญากรรม: นอกจากการใช้เพื่อความบันเทิงแล้ว ยังถูกนำมาใช้ในการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การสร้างวิดีโอโป๊ปลอมของบุคคลสาธารณะเพื่อแบล็กเมล์หรือทำลายชื่อเสียงของพวกเขา การใช้ ในกรณีแบบนี้สามารถสร้างความเสียหายทางจิตใจและชื่อเสียงแก่บุคคลได้อย่างมาก
  4. การปลอมเสียง: นอกจากการปลอมแปลงภาพแล้ว ยังสามารถปลอมแปลงเสียงได้อย่างแนบเนียน เช่น การใช้ AI สร้างเสียงเลียนแบบของบุคคลที่มีชื่อเสียงให้พูดข้อความที่ไม่เคยพูดจริง ตัวอย่างเช่น การปลอมแปลงเสียงของ CEO บริษัทหนึ่งเพื่อโทรหาบริษัทลูกและสั่งให้โอนเงินไปยังบัญชีหลอกลวง
da Vinci's Mon Lisa
da Vinci’s Mon Lisa

ตัวอย่าง Deepfake ที่ปรากฏเป็นข่าว เช่น

  1. คลิปวิดีโอของอีลอน มัสค์: มีการใช้ Deepfake สลับใบหน้าของผู้ใช้งานกับใบหน้าของอีลอน มัสค์ในวิดีโอเพื่อความบันเทิง
  2. รายการ America’s Got Talent: ใช้ Deepfake เพื่อเลียนแบบเสียงและภาพของ Elvis Presley ในการแสดง
  3. วิดีโอของโดนัลด์ ทรัมป์: มีการใช้ Deepfake เปลี่ยนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ในวิดีโอเพื่อทำให้เขาพูดจาเสีย ๆ หาย ๆ

ความเสี่ยงและผลกระทบของ AI Fakery และ Deepfake

AI ถูกใช้ในการบิดเบือนข้อมูลในด้านการเมือง การตลาด และการสร้างความเข้าใจผิด การใช้ AI เพื่อปลอมแปลงเริ่มส่งผลให้เกิดปัญหาด้านจริยธรรมและกฎหมายในหลายประเทศ และนี่ เป็นเพียงบางส่วนของผลกระทบเหล่านั้น

  • ผลกระทบทางการเมือง: สามารถถูกใช้เพื่อปลอมแปลงคำพูดของนักการเมืองในช่วงเวลาสำคัญ เช่น การเลือกตั้ง ส่งผลให้เกิดความสับสนและอาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของประชาชน
  • ผลกระทบด้านความน่าเชื่อถือ: ความสามารถในการปลอมแปลงข้อมูลด้วย Deepfake ทำให้การตรวจสอบความถูกต้องของสื่อดิจิทัลเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลในโลกดิจิทัลลดลง
  • อาชญากรรมดิจิทัล: มีการนำเทคโนโลยีปลอมแปลงไปใช้ในอาชญากรรมดิจิทัล เช่น การหลอกลวงทางการเงิน การแบล็กเมล์ หรือการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกลวงประชาชนทั่วไป
  • การป้องกัน: ในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตรวจจับ Deepfake แต่การพัฒนาเหล่านี้ยังคงเป็นการวิ่งตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการปลอมแปลงอยู่

ประโยชน์ของ AI

เมื่อรู้ความหมาย ความแตกต่าง ข้อเสีย และผลกระทบไปแล้ว ลองกลับมามองในมุมดีของ AI กันบ้างครับ

ตัวอย่างในการสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์

1. การผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา:

    • มีการใช้เทคโนโลยี ในการสร้างโมเดลใบหน้าและเสียงสำหรับรายการ “สุขใจไฮเอจ” ช่วง “รู้ทันไอที” โดยใช้แพลตฟอร์ม D-ID และ HeyGen เพื่อสร้าง Avatar ดิจิทัลที่สามารถพูดได้ ทำให้ผู้ชมเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานและลดข้อจำกัดในการถ่ายทำรายการ

      2. การสร้างภาพยนตร์:

      • AI Fakery ถูกนำมาใช้ในวงการภาพยนตร์เพื่อสร้างตัวละครเสมือนจริง เช่น การใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างฉากที่มีนักแสดงที่เสียชีวิตแล้ว เช่น การนำไมเคิล แจ็คสันกลับมาปรากฏตัวในคอนเสิร์ตผ่านเทคโนโลยี Deepfake
      https://www.dfine3d.com/what-is-deep-fake/

      3. การทำงาน VR และ AR:

      • AI Fakery สามารถนำไปใช้ในกระบวนการสร้างประสบการณ์เสมือนจริง (VR) และความจริงเสริม (AR) เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความสมจริงสูง เช่น การจำลองเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้งานสามารถมีส่วนร่วมได้

      โฆษณา ไก่ย่าง5ดาว เนื้อหาบอกเล่า แม่ที่ตายไปแล้วลูกคิดถึง ใช้เทคโนโลยี AI ในการสร้างแม่ขึ้นมา ใครยังไม่ได้ดู เข้าไปดูได้ https://www.youtube.com/watch?v=ICMaMKLPjEc

      4. การบริการลูกค้า:

      • ใช้ ในการสร้าง AI BOT ที่สามารถให้ข้อมูลและบริการลูกค้าในโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสนามบิน โดยสามารถเลียนแบบเสียงและพฤติกรรมของบุคคลจริง ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับคนจริง

      5. การศึกษาและฝึกอบรม:

      • AI ถูกนำมาใช้ในการสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เช่น การจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจหรือการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและมีประสบการณ์ตรงในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย

        การนำ AI มาใช้งานในด้านบวกเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและความบันเทิง.

        ด้วยเทคโนโลยี Deepfake AI นี้ทำให้เราแทบจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า บุคคลตรงหน้าจอ คือ ตัวจริง หรือ ตัวปลอมกันแน่
        ด้วยเทคโนโลยี Deepfake AI นี้ทำให้เราแทบจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า บุคคลตรงหน้าจอ คือ ตัวจริง หรือ ตัวปลอมกันแน่

        Tagged in :

        Nich PR Group Avatar

        Nich PR

        Page

        ยกระดับธุรกิจด้วย Digital Marketing Innovation และการประยุกต์ใช้ AI และ SEO Solutions ที่คู่แข่งตามไม่ทัน! เว็บไซต์เพิ่มการติดอันดับและส่วนแบ่งการตลาดแข่งขันสูง มั่นคง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเสริมสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง เพื่อเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง ร่วมเปลี่ยนแปลงอนาคตธุรกิจของคุณกับเรา วันนี้!