AI กับอนาคตของงาน : โอกาส, ความท้าทาย และกลยุทธ์การปรับตัวในตลาดแรงงานโลก 2025-2030

Nich PR Group Avatar

หลายคนกังวลเรื่อง “AI กับอนาคตของงาน” ของตัวเอง บทความนี้จะนำเสนอแง่คิดจาก 2 แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
1. AI Will Transform the Global Economy. Let’s Make Sure It Benefits Humanity จาก IMF
2. The Future of Jobs Report 2025 จาก World Economic Forum (WEF)


AI กับอนาคตของงาน
AI กับอนาคตของงาน

ดังนี้

AI กับอนาคตของงาน แบบสั้น

สรุปประเด็นสำคัญสั้น ๆ ดังนี้:

ผลกระทบของ AI: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานเกือบ 40% ทั่วโลก โดย AI จะเข้ามาแทนที่และเสริมสร้างบางส่วน AI มีศักยภาพที่จะเพิ่มผลิตภาพและรายได้ แต่ก็อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำได้เช่นกัน

รายงาน “Future of Jobs Report 2025”: World Economic Forum (WEF) ได้สำรวจนายจ้างกว่า 1,000 ราย ใน 55 ประเทศ เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานและทักษะที่จำเป็นสำหรับช่วงปี 2025-2030

5 ปัจจัยหลักในการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงาน: ได้แก่

    1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: การเข้าถึงดิจิทัลและ AI จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่สุด

    2. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัว

    3. การแบ่งแยกทางภูมิเศรษฐศาสตร์: ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการจำกัดการค้า

    4. การเปลี่ยนผ่านสีเขียว: การลดคาร์บอนและการปรับตัวต่อสภาพอากาศ

    5. การเปลี่ยนแปลงทางประชากร: ประชากรสูงอายุและประชากรวัยทำงานที่เพิ่มขึ้นในบางภูมิภาค

ภาพรวมตำแหน่งงาน: คาดว่าจะมีการสร้างงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง และแทนที่งาน 92 ล้านตำแหน่ง ทำให้มีการ เติบโตสุทธิ 78 ล้านตำแหน่ง ทั่วโลก

    ◦ งานที่เติบโตเร็วที่สุด: ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data, AI และ Machine Learning, นักพัฒนาซอฟต์แวร์ เกษตรกรก็มีการเติบโตสูงในเชิงจำนวน (35 ล้านตำแหน่ง)

    ◦ งานที่ลดลงมากที่สุด: พนักงานธนาคารและงานธุรการประจำ

ทักษะที่ต้องการ:

    ◦ ทักษะหลักที่สำคัญ: การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical thinking), ความยืดหยุ่น ปรับตัว และคล่องตัว (Resilience, flexibility, and agility)

    ◦ ทักษะด้านเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุด: AI และ Big Data, เครือข่ายและ Cybersecurity, ความรู้เท่าทันเทคโนโลยี

    ◦ ทักษะที่ลดลง: งานที่ใช้ทักษะทางกายภาพและงานประจำที่ AI ทำได้ เช่น ความคล่องแคล่วด้วยมือ, การอ่านเขียนคณิตศาสตร์พื้นฐาน

กลยุทธ์และการรับมือ:

    ◦ อุปสรรคสำคัญ: ช่องว่างทางทักษะในตลาดแรงงาน (63% ของนายจ้าง) และวัฒนธรรมองค์กรที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การขาดทักษะในการสนับสนุนการนำ AI มาใช้

    ◦ กลยุทธ์ของนายจ้าง: การยกระดับทักษะ (Upskilling) พนักงาน (85%) และการจ้างงานผู้มีทักษะใหม่เป็นหลัก

    ◦ บทบาทของนโยบาย: รัฐบาลควรจัดให้มีโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมและโครงการฝึกอบรมสำหรับคนงานที่เปราะบาง และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและบุคลากรที่มีความสามารถทางดิจิทัลสำหรับประเทศกำลังพัฒนา


AI กับอนาคตของงาน แบบยาว ๆ ดังนี้

บทนำ: ยุคใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดย AI กับอนาคตของงาน

เพื่อให้เข้าใจถึงภูมิทัศน์ของงานและทักษะที่กำลังเปลี่ยนแปลง World Economic Forum (WEF) ได้เผยแพร่รายงาน “Future of Jobs Report 2025” ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากนายจ้างกว่า 1,000 ราย ที่เป็นตัวแทนของคนทำงานมากกว่า 14 ล้านคน ใน 22 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 55 ประเทศ รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามแนวโน้มทางเทคโนโลยี สังคม และเศรษฐกิจที่สำคัญตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และเพื่อระบุโอกาสสำหรับคนทำงานในการปรับตัวไปสู่ตำแหน่งงานแห่งอนาคตในช่วงปี 2025-2030 บทความนี้จะเจาะลึกถึงผลกระทบของ AI และปัจจัยมหภาคอื่น ๆ ที่กำหนดทิศทางตลาดแรงงาน พร้อมนำเสนอภาพรวมของงานและทักษะแห่งอนาคต รวมถึงกลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวเพื่อรับมือกับยุคที่ AI เป็นศูนย์กลาง

ส่วนที่ 1: AI: พลังขับเคลื่อนแห่งการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อตำแหน่งงาน

ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ให้เห็นว่า เกือบ 40% ของการจ้างงานทั่วโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบจาก AI ในอดีต การเข้ามาของระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีสารสนเทศมักจะส่งผลกระทบต่องานประจำที่มีลักษณะเป็นกิจวัตร แต่สิ่งที่ทำให้ AI แตกต่างออกไปคือความสามารถในการส่งผลกระทบต่องานที่มีทักษะสูง ผลลัพธ์คือ ประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า (Advanced Economies) ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจาก AI มากกว่า แต่ก็มีโอกาสในการใช้ประโยชน์จาก AI ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า ประมาณ 60% ของตำแหน่งงานอาจได้รับผลกระทบจาก AI

การเติบโตของ Generative AI (GenAI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ได้เร่งการลงทุนและการนำ AI มาใช้ในภาคส่วนต่างๆ อย่างมหาศาล การลงทุนใน AI เพิ่มขึ้นเกือบแปดเท่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาลดอุปสรรคในการใช้งาน และลดความต้องการความรู้ทางเทคนิคเฉพาะทางลงอย่างมาก เนื่องจากผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับ AI ได้ราวกับกำลังสนทนากับมนุษย์

อย่างไรก็ตาม การนำแอปพลิเคชัน AI มาใช้ในวงกว้างยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำในปี 2023 แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่สม่ำเสมอในแต่ละภาคส่วน ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นผู้นำในการนำ AI มาใช้ ในขณะที่อุตสาหกรรมอย่างการก่อสร้างยังคงตามหลัง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าและประเทศรายได้ปานกลางมีการแพร่กระจายของเทคโนโลยี GenAI ในหมู่ผู้ใช้ส่วนบุคคลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนประเทศรายได้ต่ำยังคงอยู่ในวงนอก และมีการใช้งานเทคโนโลยีนี้เพียงเล็กน้อยในปัจจุบัน

AI กับอนาคตของงาน ในประเด็นสำคัญที่รายงานของ World Economic Forum ชี้ให้เห็นคือ บทบาทของ GenAI ในการ “เสริมสร้าง” (augment) ทักษะของมนุษย์ มากกว่าที่จะเข้ามาแทนที่โดยสมบูรณ์ จากการประเมินโดย GPT-4o ในกว่า 2,800 ทักษะ พบว่าไม่มีทักษะใดที่ AI ในปัจจุบันสามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ “ในระดับสูงมาก” GenAI แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทดแทนที่สูงขึ้นในทักษะที่สามารถใช้ความรู้ทางทฤษฎีควบคู่ไปกับการจัดการข้อมูลดิจิทัล เช่น การขุดข้อมูล (data mining) และการประยุกต์ใช้ Machine Learning นอกจากนี้ยังมีความสามารถโดดเด่นในการอ่าน เขียน และคณิตศาสตร์ รวมถึงการสื่อสารหลายภาษา โดยสามารถสรุปข้อมูลที่ซับซ้อน ร่างข้อความ ทำการคำนวณ และแปลภาษาได้ ทว่าทักษะที่ต้องอาศัยการมีอยู่จริงของมนุษย์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ยังคงเป็นพื้นที่ที่ AI ยังไม่สามารถเข้ามาทดแทนได้ง่าย

Demand for generative AI skills Generative AI enrolment trend 2022-2024

ส่วนที่ 2: 5 ปัจจัยมหภาคสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาดแรงงานโลก

รายงาน “Future of Jobs Report 2025” ที่เกี่ยวข้องกับAI กับอนาคตของงาน ระบุว่ามี 5 ปัจจัยมหภาคหลักที่คาดว่าจะหล่อหลอมและเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานทั่วโลกภายในปี 2030 ได้แก่:

1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Technological Change): การเข้าถึงดิจิทัลที่ขยายวงกว้างขึ้น (Broadening digital access) คาดว่าจะเป็นแนวโน้มที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยมีนายจ้างถึง 60% คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนภายในปี 2030 นอกเหนือจาก AI และการประมวลผลข้อมูลที่ได้กล่าวไปแล้ว เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คาดว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ได้แก่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (58% ของนายจ้าง) และเทคโนโลยีการผลิต จัดเก็บ และกระจายพลังงาน (41%) แนวโน้มเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความต้องการทักษะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ AI และ Big Data, เครือข่ายและ Cybersecurity และความรู้เท่าทันเทคโนโลยี (Technological literacy) ซึ่งคาดว่าจะเป็น 3 อันดับแรกของทักษะที่เติบโตเร็วที่สุด ในทางกลับกัน ทักษะพื้นฐานบางอย่าง เช่น ความคล่องแคล่วด้วยมือ ความอดทน และความแม่นยำ รวมถึงการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ คาดว่าจะมีความสำคัญลดลงเนื่องจาก AI และระบบอัตโนมัติสามารถทำงานเหล่านี้ได้ดีขึ้น

2. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (Economic Uncertainty): ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น (Increasing cost of living) ถูกจัดให้เป็นแนวโน้มที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากเป็นอันดับสองโดยรวม โดยครึ่งหนึ่งของนายจ้างคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตนภายในปี 2030 แม้จะมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลง แต่ความกังวลนี้ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยทั่วไปยังคงเป็นประเด็นหลักที่นายจ้างตระหนักถึง โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ 42% และอาจทำให้งาน 1.6 ล้านตำแหน่งทั่วโลกถูกแทนที่ แนวโน้มเหล่านี้จะเพิ่มความต้องการทักษะอย่างการคิดเชิงสร้างสรรค์ (creative thinking) และความยืดหยุ่น ปรับตัว และคล่องตัว (resilience, flexibility, and agility) เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

3. การแบ่งแยกทางภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomic Fragmentation): ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้น (Increased geopolitical division and conflicts) คาดว่าจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจในหนึ่งในสาม (34%) ขององค์กรที่สำรวจ นอกจากนี้ ข้อจำกัดทางการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น (23%) และนโยบายอุดหนุนอุตสาหกรรม (21%) ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่นายจ้างคาดว่าจะส่งผลต่อธุรกิจ นายจ้างที่คาดว่าแนวโน้มเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจ มีแนวโน้มที่จะย้ายการดำเนินงานออกนอกประเทศ (off-shore) และนำกลับเข้ามาในประเทศ (re-shore) มากขึ้น แนวโน้มนี้คาดว่าจะเพิ่มความต้องการในตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย และทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ (networks and cybersecurity) โดยรวมแล้ว ปัจจัยทางภูมิเศรษฐศาสตร์เหล่านี้คาดว่าจะสร้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น 5 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030 โดยส่วนใหญ่อยู่ในบทบาทด้านโลจิสติกส์ ความปลอดภัย และกลยุทธ์

4. การเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition): ความพยายามและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในการลดการปล่อยคาร์บอน (Increased efforts and investments to reduce carbon emissions) และการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Increased efforts and investments to adapt to climate change) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ โดย 47% และ 41% ของนายจ้างตามลำดับ คาดว่าแนวโน้มเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนในอีกห้าปีข้างหน้า ตำแหน่งงานสีเขียว (green jobs) ได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และอัตราการจ้างงานในภาคส่วนสีเขียวสูงกว่าอัตราการจ้างงานโดยรวม ความต้องการทักษะสีเขียวยังคงสูงกว่าอุปทานอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มนี้กำลังผลักดันความต้องการบทบาทต่าง ๆ เช่น วิศวกรพลังงานหมุนเวียน (renewable energy engineers) และวิศวกรสิ่งแวดล้อม (environmental engineers) ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกลุ่ม 15 ตำแหน่งงานที่เติบโตเร็วที่สุด การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะเป็นปัจจัยใหญ่อันดับสามที่สร้างงานสุทธิทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030 ในขณะที่การลดการปล่อยคาร์บอนจะสร้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น 3 ล้านตำแหน่ง

5. การเปลี่ยนแปลงทางประชากร (Demographic Shifts): ประชากรวัยทำงานสูงอายุและลดลง (Ageing and declining working-age populations) เป็นแนวโน้มที่สำคัญในประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งนำไปสู่อัตราการพึ่งพิงที่สูงขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนแรงงาน ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่มีรายได้ต่ำกลับมีประชากรวัยทำงานที่เพิ่มขึ้น (growing working-age populations) ซึ่งเป็นผลดีต่อประชากร (demographic dividend) การที่ประชากรสูงอายุขึ้นอาจนำไปสู่การใช้ระบบอัตโนมัติและการเสริมสร้างแรงงานด้วยเทคโนโลยีที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อชดเชยกำลังคน โดยรวมแล้ว แนวโน้มนี้คาดว่าจะสร้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น 4 ล้านตำแหน่ง โดยประชากรวัยทำงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอันดับสองที่สร้างงานใหม่ 9 ล้านตำแหน่งรองจาก การเข้าถึงดิจิทัลที่ขยายวงกว้างขึ้น

Core skills in 2030

ส่วนที่ 3: อนาคตของงานและทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการ (เน้น AI กับอนาคตของงาน)

ในช่วงปี 2025 ถึง 2030 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานจะส่งผลกระทบต่อ 22% ของตำแหน่งงานทั้งหมดในปัจจุบัน รายงานคาดการณ์ว่าจะมีการ สร้างงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง ซึ่งคิดเป็น 14% ของการจ้างงานในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้จะถูกหักล้างด้วยการแทนที่งาน 92 ล้านตำแหน่ง หรือ 8% ของงานปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้มี การเติบโตสุทธิ 7% หรือ 78 ล้านตำแหน่ง โดยรวมทั่วโลก

ตำแหน่งงานที่มีการเติบโตสูงสุด (Fastest-Growing Jobs): ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data (Big Data Specialists), วิศวกร FinTech (FinTech Engineers), ผู้เชี่ยวชาญ AI และ Machine Learning (AI and Machine Learning Specialists), นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน (Software and Applications Developers) และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความปลอดภัย (Security Management Specialists) นอกจากนี้ งานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านสีเขียวก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น วิศวกรพลังงานหมุนเวียนและวิศวกรสิ่งแวดล้อม สิ่งที่น่าสนใจคือ รายงานยังชี้ให้เห็นว่า เกษตรกรและแรงงานภาคเกษตรกรรมอื่น ๆ (Farmworkers, Labourers, and Other Agricultural Workers) คาดว่าจะมีการเติบโตของงานมากที่สุดในเชิงจำนวนสัมบูรณ์ โดยเพิ่มขึ้นถึง 35 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสีเขียว การลดการปล่อยคาร์บอน การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงดิจิทัลที่ขยายวงกว้างขึ้น

ตำแหน่งงานที่ลดลงมากที่สุด (Fastest-Declining Jobs): ตำแหน่งงานประจำที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการและบริการลูกค้าจะลดลงมากที่สุด เช่น พนักงานธนาคารและเสมียนที่เกี่ยวข้อง (Bank Tellers and Related Clerks), เสมียนบันทึกวัสดุและสินค้าคงคลัง (Material-Recording and Stock-Keeping Clerks), พนักงานขายแบบเคาะประตู (Door-To-Door Sales Workers) และผู้ช่วยธุรการและเลขานุการผู้บริหาร (Administrative Assistants and Executive Secretaries) ที่น่าสังเกตคือ นักออกแบบกราฟิก (Graphic Designers) และเลขานุการกฎหมาย (Legal Secretaries) ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นงานที่มีการเติบโตปานกลางในปี 2023 ปัจจุบันกลับมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากเทคโนโลยี AI และการเข้าถึงดิจิทัลที่กว้างขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถเข้ามาทำงานที่เกี่ยวข้องกับความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทักษะแห่งอนาคตที่กำลังเป็นที่ต้องการ (Skills Outlook): นายจ้างคาดการณ์ว่า 39% ของทักษะหลักที่จำเป็นสำหรับคนทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปภายในปี 2030 แม้จะยังคงเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ลดลงจาก 44% ในปี 2023 ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในการเรียนรู้ต่อเนื่อง การยกระดับทักษะ (upskilling) และการเปลี่ยนทักษะ (reskilling)

    ◦ ทักษะหลักที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด (Top Core Skills): การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical thinking) ยังคงเป็นทักษะที่นายจ้างส่วนใหญ่ (7 ใน 10 บริษัท) ให้ความสำคัญมากที่สุด ตามมาด้วย ความยืดหยุ่น ปรับตัว และคล่องตัว (Resilience, flexibility, and agility) รวมถึง ความเป็นผู้นำและอิทธิพลทางสังคม (Leadership and social influence) ทักษะอย่างการคิดเชิงสร้างสรรค์ (creative thinking) และความอยากรู้อยากเห็นและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (curiosity and lifelong learning) ก็คาดว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเช่นกัน

    ◦ ทักษะด้านเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุด (Fastest-Growing Tech Skills): AI และ Big Data เป็นทักษะที่เติบโตเร็วที่สุด ตามมาด้วยเครือข่ายและ Cybersecurity และความรู้เท่าทันเทคโนโลยี ทักษะเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเทคโนโลยีมาใช้และทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ

    ◦ ทักษะที่ลดลง (Declining Skills): อย่างที่กล่าวไปแล้ว ทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำซ้ำๆ เช่น ความคล่องแคล่วด้วยมือ ความอดทน และความแม่นยำ รวมถึงการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ คาดว่าจะลดความสำคัญลง เนื่องจาก AI และระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยในงานเหล่านี้มากขึ้น

    ◦ บทบาทของ GenAI และทักษะที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (GenAI and Human-Centered Skills): รายงานเน้นย้ำว่า GenAI มีแนวโน้มที่จะ เสริมสร้าง ทักษะของมนุษย์มากกว่าที่จะเข้ามาแทนที่โดยสมบูรณ์ ทักษะที่ AI มีศักยภาพในการทดแทนสูง ได้แก่ ทักษะที่ใช้ความรู้เชิงทฤษฎีควบคู่กับการจัดการข้อมูลดิจิทัล เช่น การขุดข้อมูลและการประยุกต์ใช้ Machine Learning นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในงานพื้นฐานด้านภาษาและคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ทักษะที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (human-centred skills) ยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น ทักษะที่ต้องใช้การรับรู้ทางประสาทสัมผัส (sensory-processing abilities) และความคล่องแคล่วด้วยมือ การวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างทักษะที่จำเป็นสำหรับงานที่กำลังเติบโตและงานที่กำลังลดลง แสดงให้เห็นว่า ความยืดหยุ่น ปรับตัว และคล่องตัว (resilience, flexibility, and agility) เป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่แยกความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ ตามมาด้วยการเขียนโปรแกรมและความรู้เท่าทันเทคโนโลยี การจัดการทรัพยากรและการปฏิบัติงาน (Resource management and operations) และการควบคุมคุณภาพ (quality control) ก็เป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในงานที่กำลังเติบโต

ส่วนที่ 4: กลยุทธ์สำหรับตลาดแรงงานแห่งอนาคตและแนวทางรับมือ

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดแรงงานทำให้เกิดความท้าทายและข้อจำกัดที่องค์กรต้องเผชิญในการปรับตัว

อุปสรรคสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Barriers to Transformation): ช่องว่างทางทักษะ (Skills gaps) ในตลาดแรงงาน เป็นอุปสรรคสำคัญอันดับแรกที่นายจ้างทั่วโลก 63% ระบุ ปัญหานี้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าในปี 2023 ที่มีนายจ้าง 60% ระบุว่าเป็นอุปสรรคสูงสุด อุปสรรคสำคัญอันดับสองคือ วัฒนธรรมองค์กรและการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Organizational culture and resistance to change) ซึ่งระบุโดย 46% ของนายจ้าง นอกจากนี้ การขาดความสามารถในการดึงดูดผู้มีความสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรม (Inability to attract talent to the industry) (37%) และการขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและเทคนิคที่เพียงพอ (Lack of adequate data and technical infrastructure) (32%) ก็เป็นอุปสรรคสำคัญเช่นกัน

กลยุทธ์กำลังคนของนายจ้าง (Employer Workforce Strategies): เพื่อรับมือกับแนวโน้มมหภาคเหล่านี้ การยกระดับทักษะ (Upskilling) ของพนักงาน เป็นกลยุทธ์กำลังคนที่พบบ่อยที่สุด โดย 85% ของนายจ้างวางแผนที่จะนำแนวทางนี้มาใช้ในช่วงปี 2025-2030 การเร่งระบบอัตโนมัติของกระบวนการและงาน (Accelerate the automation of processes and tasks) เป็นกลยุทธ์ที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง (73%) และ 63% ของนายจ้างตั้งใจที่จะเสริมสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพกำลังคนด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ (Complement and augment workforce with new technologies) ในแง่ของการปรับโครงสร้างกำลังคน 70% ขององค์กรที่สำรวจวางแผนที่จะจ้างพนักงานใหม่ที่มีทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการ และ 51% ตั้งใจที่จะโยกย้ายพนักงานจากตำแหน่งงานที่ลดลงไปยังตำแหน่งงานที่เติบโตภายในองค์กร นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่นายจ้างจะย้ายการดำเนินงานกลับเข้ามาใกล้แหล่งควบคุมมากขึ้น (reshoring, nearshoring หรือ friendshoring) (10%) มากกว่าการย้ายออกนอกประเทศ (offshoring) (8%)

ความสำคัญของการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ (Importance of Training and Skill Development): รายงานเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการฝึกอบรมพนักงาน โดยคาดว่า 59% ของกำลังคนทั่วโลกจะต้องได้รับการฝึกอบรมภายในปี 2030 ในจำนวนนี้ นายจ้างคาดการณ์ว่า 29% จะสามารถยกระดับทักษะในบทบาทปัจจุบันได้ และ 19% จะได้รับการยกระดับทักษะและโยกย้ายไปยังบทบาทอื่นภายในองค์กร อย่างไรก็ตาม 11% อาจไม่ได้รับการเปลี่ยนทักษะหรือยกระดับทักษะที่จำเป็น ซึ่งทำให้โอกาสในการจ้างงานของพวกเขามีความเสี่ยงสูงขึ้น การลงทุนในโครงการฝึกอบรมเหล่านี้มีผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น การเพิ่มผลิตภาพของบริษัท (77%) การปรับปรุงความสามารถในการแข่งขัน (70%) และการรักษาพนักงานที่มีความสามารถ (65%) การสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการฝึกอบรมเพื่อยกระดับและพัฒนาทักษะยังคงเป็นสิ่งที่นายจ้างส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แนวทาง “ทักษะเป็นอันดับแรก” (Skills-First Approach): แนวคิดการจ้างงานที่เน้นทักษะเป็นอันดับแรกกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น นายจ้างกำลังมุ่งเน้นไปที่ การประเมินประสบการณ์การทำงาน (81%) และการทดสอบก่อนการจ้างงาน (48%) มากกว่าการพึ่งพาวุฒิการศึกษาเพียงอย่างเดียว การทดสอบทางจิตวิทยา (psychometric tests) ก็กำลังถูกนำมาใช้มากขึ้น (34%) เพื่อประเมินคุณลักษณะด้านพฤติกรรมและความสามารถในการคิดของผู้สมัคร สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักว่าทักษะเชิงปฏิบัติและความสามารถในการคิดอาจบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในการทำงานในอนาคตได้ดีกว่าคุณวุฒิการศึกษาอย่างเป็นทางการ และยังช่วยขยายกลุ่มผู้สมัครงานอีกด้วย ตัวอย่างเช่น อินเดียและแอฟริกาใต้กำลังพิจารณาที่จะ ยกเลิกข้อกำหนดวุฒิการศึกษา เพื่อเปิดทางให้เข้าถึงงานที่กำลังเกิดขึ้นได้มากขึ้น การฝึกอบรมสายอาชีพ การอบรมระยะสั้น และประกาศนียบัตรออนไลน์ ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับงานที่กำลังเติบโต

ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก (Diversity, Equity, and Inclusion – DEI): การให้ความสำคัญกับ DEI เพิ่มขึ้นในการเพิ่มความพร้อมของบุคลากร นายจ้างจำนวนมากกำลังวางแผนที่จะดำเนินการฝึกอบรม DEI อย่างครอบคลุมสำหรับผู้จัดการและพนักงาน (51%) กำหนดเป้าหมาย DEI (42%) และริเริ่มโครงการสรรหา รักษา และความก้าวหน้าของพนักงานอย่างมีเป้าหมาย (48%) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางภูมิภาค เช่น แอฟริกาใต้ ที่นายจ้างวางแผนที่จะมุ่งเน้นกลุ่มประชากรที่เสียเปรียบ เช่น ผู้มีรายได้น้อย (41% เทียบกับ 24% ทั่วโลก) หรือกลุ่มชาติพันธุ์/ศาสนาที่ด้อยโอกาส (55% เทียบกับ 27% ทั่วโลก)

AI และช่องว่างทักษะในการนำไปใช้ (AI and Skill Gaps in Adoption): แม้ว่า AI จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ แต่การนำ AI มาใช้ก็ยังมีอุปสรรคอยู่ การขาดทักษะในการสนับสนุนการนำ AI มาใช้เป็นอุปสรรคสำคัญอันดับแรก โดย 50% ของผู้บริหารทั่วโลกกล่าวถึง ตามมาด้วยการขาดวิสัยทัศน์ในหมู่ผู้จัดการและผู้นำ (43%) ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายสูง (29%) การขาดการปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจในท้องถิ่น (24%) กฎระเบียบที่ซับซ้อน (21%) และความต้องการของผู้บริโภคที่จำกัด (16%) ก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างทางทักษะที่ยังคงมีอยู่สำหรับการนำ AI มาใช้ ทั้งในระดับผู้บริหารและพนักงาน

บทสรุป AI กับอนาคตของงาน : สร้างสมดุลเพื่ออนาคตที่ AI และมนุษย์ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

AI และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วได้นำมาซึ่งภูมิทัศน์ของงานและทักษะที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีความไม่แน่นอนที่เกิดจากปัจจัยมหภาคอย่างความแตกแยกทางภูมิเศรษฐศาสตร์ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการนำ AI มาใช้ในวงกว้าง แต่รายงาน “Future of Jobs Report 2025” ก็ยังคงให้ภาพรวมที่เป็นบวกสุทธิสำหรับการจ้างงานทั่วโลก การสร้างงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่งที่คาดการณ์ไว้ สวนทางกับการแทนที่งาน 92 ล้านตำแหน่ง ทำให้มีการเติบโตสุทธิ 78 ล้านตำแหน่ง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า AI มีศักยภาพในการ เสริมสร้าง ทักษะของมนุษย์มากกว่าการเข้ามาแทนที่โดยสมบูรณ์ ดังนั้น การลงทุนในการยกระดับทักษะและการเปลี่ยนทักษะของพนักงานจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สุดสำหรับนายจ้าง การพัฒนาทักษะที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางควบคู่ไปกับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดแรงงานแห่งอนาคต

ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ เพื่อให้มั่นใจว่ากำลังคนมีความพร้อมในการปรับตัว นอกจากนี้ การนำแนวทาง “ทักษะเป็นอันดับแรก” มาใช้ โดยลดการพึ่งพาวุฒิการศึกษาและหันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์และทักษะที่แท้จริง จะช่วยขยายกลุ่มผู้มีความสามารถและสร้างโอกาสให้คนทำงานได้มากขึ้น

โดยสรุป อนาคตของงานในปี 2025-2030 จะเป็นยุคที่ AI เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่บทบาทของมนุษย์จะยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทักษะที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การสร้างสมดุลทางนโยบายอย่างรอบคอบ การลงทุนในการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และการสร้างความร่วมมือระหว่างมนุษย์กับ AI คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราดึงศักยภาพของ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง


AI กับอนาคตของงาน: โอกาส, ความท้าทาย และกลยุทธ์การปรับตัว
AI กับอนาคตของงาน: โอกาส, ความท้าทาย และกลยุทธ์การปรับตัว

Tagged in :

Nich PR Group Avatar

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Nich PR

Page

ยกระดับธุรกิจด้วย Digital Marketing Innovation และการประยุกต์ใช้ AI และ SEO Solutions ที่คู่แข่งตามไม่ทัน! เว็บไซต์เพิ่มการติดอันดับและส่วนแบ่งการตลาดแข่งขันสูง มั่นคง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเสริมสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง เพื่อเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง ร่วมเปลี่ยนแปลงอนาคตธุรกิจของคุณกับเรา วันนี้!