เมื่อ AI แถ และ เพ้อ Catastrophic Forgetting และ Hallucination

Catastrophic Forgetting และ Hallucination
Nich PR Group Avatar

จากบทความก่อนหน้านี้ () เราได้พูดถึง “ผลเปรียบเทียบ AI RAG, LoRA และ Fine-Tuning: วิธีไหนเหมาะกับงานของคุณ? และได้นำเสนอว่า การ Fine-Tuning : ใช้ทรัพยากรเยอะ (ทั้งเวลาและพลังงาน) เสี่ยงเกิด “catastrophic forgetting และ Hallucination” เรามาขยายผลในบทความนี้กัน

ซึ่งจริงอยู่ พลังความสามารถของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ในการประมวลผลภาษาธรรมชาตินั้น สร้าง AI ให้เราได้รู้จักหลายเจ้า หลายโมเดล และถึงแม้ว่าโมเดลเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพที่โดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีปัญหาในความสามารถนั้น ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย (มีการพูดถึงปัญหา ถึง 7 ข้อในบทความอ้างอิง) ซึ่งเราจะยกมาเพียงปัญหาหลักสองประการที่จะกล่าวนี้ ได้แก่ การลืมที่ร้ายแรงมหันต์ และภาพหลอน บทความนี้จะแนะนำแนวคิดพร้อมข้อมูลเชิงเทคนิค ผลกระทบ และวิธีแก้ไข

เมื่อ AI งง กับ Catastrophic Forgetting และ Hallucination

Catastrophic Forgetting คืออะไร

📌Catastrophic Forgetting (การหลงลืมแบบมหันต์)

Catastrophic Forgetting หรือ การหลงลืมแบบมหันต์ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใน โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Deep Learning เมื่อโมเดลได้รับการฝึกด้วยข้อมูลชุดใหม่ แล้ว ลืม ความรู้หรือทักษะที่เคยเรียนรู้จากข้อมูลชุดเก่า

📌 เกิดจากอะไร?

Catastrophic Forgetting มักเกิดขึ้นใน Sequential Learning (การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง) เพราะโมเดลถูกปรับค่าตามข้อมูลใหม่ โดยไม่สามารถรักษาความรู้เก่าไว้ ได้ดีพอ ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก (Weights) ในโมเดล
    • เมื่อเรียนรู้ข้อมูลใหม่ น้ำหนักของโมเดลจะถูกอัปเดต
    • แต่น้ำหนักที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเก่าอาจถูกเปลี่ยนไปจนสูญเสียความสามารถเดิม
  2. ไม่มีการจัดเก็บความรู้เก่าอย่างเป็นระบบ
    • Deep Learning ทั่วไป ไม่ได้มีหน่วยความจำแยก เพื่อเก็บข้อมูลเก่า
    • ต่างจากสมองมนุษย์ที่สามารถจำและใช้ความรู้เก่าได้แม้จะเรียนรู้สิ่งใหม่
  3. ไม่มีการทบทวนข้อมูลเก่า
    • การฝึกโมเดลมักทำเป็นลำดับ (Sequential) โดยไม่มีการนำข้อมูลเก่ากลับมาทบทวน
    • ทำให้โมเดล “จำ” ได้เพียงข้อมูลล่าสุด

📌 สาเหตุของ Catastrophic Forgetting

Catastrophic Forgetting มักเกิดขึ้นใน Sequential Learning (การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง) เพราะโมเดลถูกปรับค่าตามข้อมูลใหม่ โดยไม่สามารถรักษาความรู้เก่าไว้ ได้ดีพอ ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก (Weights) ในโมเดล
    • เมื่อเรียนรู้ข้อมูลใหม่ น้ำหนักของโมเดลจะถูกอัปเดต
    • แต่น้ำหนักที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเก่าอาจถูกเปลี่ยนไปจนสูญเสียความสามารถเดิม
  2. ไม่มีการจัดเก็บความรู้เก่าอย่างเป็นระบบ
    • Deep Learning ทั่วไป ไม่ได้มีหน่วยความจำแยก เพื่อเก็บข้อมูลเก่า
    • ต่างจากสมองมนุษย์ที่สามารถจำและใช้ความรู้เก่าได้แม้จะเรียนรู้สิ่งใหม่
  3. ไม่มีการทบทวนข้อมูลเก่า
    • การฝึกโมเดลมักทำเป็นลำดับ (Sequential) โดยไม่มีการนำข้อมูลเก่ากลับมาทบทวน
    • ทำให้โมเดล “จำ” ได้เพียงข้อมูลล่าสุด

ที่มา : https://unfoldai.com/catastrophic-forgetting-llms/

📌 แนวทางแก้ไข

แม้ว่าปัญหานี้จะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการเหล่านี้:

1. Replay Mechanism (การทบทวนข้อมูลเก่า)
  • ให้โมเดล เรียนรู้ข้อมูลเก่าและใหม่ไปพร้อมกัน โดยใช้ Memory Buffer
  • เช่น เทคนิค Experience Replay ใน Reinforcement Learning
2. Regularization Methods (การป้องกันการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักมากเกินไป)
  • ใช้วิธีเช่น Elastic Weight Consolidation (EWC) ที่ช่วยล็อคหรือลดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเก่า
3. Knowledge Distillation (ถ่ายทอดความรู้จากโมเดลเก่าไปใหม่)
  • ใช้ โมเดลเก่า (Teacher Model) ช่วยสอน โมเดลใหม่ (Student Model)
  • ทำให้โมเดลใหม่เรียนรู้ข้อมูลใหม่ โดยไม่ลืมข้อมูลเก่า
4. Progressive Neural Networks (เพิ่มโครงข่ายประสาทใหม่)
  • สร้าง โมเดลใหม่แยกออกมา แต่ให้เชื่อมต่อกับโมเดลเก่า
  • ป้องกันการเปลี่ยนน้ำหนักของโมเดลเก่า

Catastrophic Forgetting เกี่ยวข้องกับ Deep Learning อย่างไร?

Deep Learning อาศัย Artificial Neural Networks (โครงข่ายประสาทเทียม) ซึ่งเรียนรู้ผ่านการปรับค่า น้ำหนัก (weights) และอคติ (biases) ของโมเดล เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา โมเดลจะ อัปเดตน้ำหนักใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับข้อมูลล่าสุด แต่การอัปเดตนี้อาจทำให้น้ำหนักที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเก่าถูกเปลี่ยนแปลงจนสูญเสียไป

📌 สาเหตุหลักที่ทำให้ Deep Learning เกิด Catastrophic Forgetting

  1. ไม่มีหน่วยความจำถาวร (Lack of Persistent Memory)
    • โมเดล Deep Learning ทั่วไป ไม่มีการบันทึกความรู้เก่า ไว้แบบแยกส่วน
    • ต่างจากมนุษย์ที่สามารถเก็บและเรียกคืนข้อมูลเก่าได้แม้จะได้รับข้อมูลใหม่
  2. การอัปเดตแบบ Stochastic Gradient Descent (SGD)
    • Deep Learning มักใช้ SGD ในการปรับปรุงน้ำหนักของโมเดล
    • เมื่อโมเดลถูกฝึกด้วยข้อมูลใหม่ น้ำหนักเก่าถูกปรับเปลี่ยน ทำให้สูญเสียความรู้เดิม
  3. การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง (Continual Learning)
    • หากโมเดลไม่ได้รับข้อมูลเก่ามาทบทวนขณะฝึกข้อมูลใหม่ จะทำให้ข้อมูลเก่าถูกลืม
    • การฝึกแบบ Batch Learning ที่ไม่ทบทวนข้อมูลเก่า ยิ่งทำให้ Forgetting รุนแรงขึ้น

Hallucination ใน AI คืออะไร?

Hallucination ใน AI หมายถึง การที่โมเดลสร้างคำตอบที่ไม่ถูกต้อง, ไม่มีมูลความจริง หรือเป็นข้อมูลที่แต่งขึ้นมาเอง แม้ว่าคำตอบนั้นจะดูสมเหตุสมผลก็ตาม

📌 ตัวอย่าง

  • ถาม: “ประเทศไทยมีรถไฟความเร็วสูงกี่สาย?”
  • AI ตอบ: “ประเทศไทยมีรถไฟความเร็วสูง 3 สาย ได้แก่ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-ภูเก็ต และ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี” (❌ ผิด เพราะไม่มีโครงการกรุงเทพฯ-ภูเก็ต หรืออุบลฯ ในปัจจุบัน)
  • AI Chatbot อ้างอิงงานวิจัยที่ไม่มีอยู่จริง
  • Google Translate สร้างคำแปลที่ผิดจากต้นฉบับ แต่ฟังดูสมเหตุสมผล
  • AI สรุปบทความผิดจากต้นฉบับ เช่น สรุปว่าตัวละครหนึ่งเสียชีวิต ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
  • Generative Models – AI วาดภาพหรือสร้างวิดีโอที่ผิดเพี้ยน

ที่มาของ Hallucination ใน AI

  1. โมเดลพยายามคาดเดาข้อมูล
    • LLM (เช่น GPT-4, Claude, Mistral) สร้างคำตอบโดยใช้ Pattern Matching บนข้อมูลที่ฝึกมา ซึ่งอาจไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องตรงๆ
    • เมื่อไม่มีข้อมูลที่แน่นอน AI อาจเดาหรือแต่งเรื่องขึ้น
  2. ใช้ข้อมูลไม่ครบถ้วน
    • หากข้อมูลที่ดึงมาไม่ตรงกับคำถาม AI อาจสร้างคำตอบที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้ดูสมบูรณ์
    • เช่น ระบบ RAG ดึงข้อมูลผิด หรือไม่มีข้อมูลเกี่ยวข้องเลย
  3. Bias จากข้อมูลที่ใช้ฝึก
    • หากข้อมูลที่ AI ใช้ฝึกมี Bias หรือข้อผิดพลาด AI อาจสะท้อนข้อมูลผิดเหล่านั้น
  4. การตั้งค่า Temperature สูงเกินไป
    • Temperature เป็นค่าที่ควบคุมความ “สร้างสรรค์” ของ AI
    • ถ้าตั้งค่าสูง (เช่น 1.0) โมเดลจะสุ่มสร้างคำตอบมากขึ้น → เสี่ยงต่อการ Hallucination
    • ถ้าตั้งค่าต่ำ (เช่น 0.2) โมเดลจะให้คำตอบตามข้อมูลมากขึ้น
https://www.deepchecks.com/llm-hallucination-detection-and-mitigation-best-techniques/

ที่มา : https://www.deepchecks.com/llm-hallucination-detection-and-mitigation-best-techniques/


วิธีป้องกัน Hallucination ใน AI

✅ 1. ใช้ RAG (Retrieval-Augmented Generation) แทนการพึ่ง LLM อย่างเดียว

🔹 ดึงข้อมูลจาก ฐานความรู้ หรือ ฐานข้อมูลจริง แล้วให้ AI ใช้ข้อมูลนั้นเป็นบริบท
🔹 ตัวอย่างการตั้งค่า RAG:

  • ใช้ Vector Database (เช่น FAISS, Pinecone) ดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  • ใช้ Keyword Search + Semantic Search เพื่อดึงข้อมูลที่แม่นยำขึ้น
  • ให้ AI ตอบเฉพาะข้อมูลที่ดึงมา ถ้าไม่มีข้อมูลให้แจ้งว่า “ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง”

✅ 2. ปรับแต่ง Prompt ให้ AI ตอบตามข้อมูลจริงเท่านั้น

🔹 ใช้ Context Injection Prompting

plaintextคัดลอกแก้ไขตามข้อมูลที่มี:
{context}

โปรดตอบคำถามต่อไปนี้โดยใช้เฉพาะข้อมูลข้างต้นเท่านั้น
หากไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ตอบว่า "ขออภัย ฉันไม่มีข้อมูลในขณะนี้"

🔹 หลีกเลี่ยงการใช้ Prompt ที่เปิดโอกาสให้ AI คิดเอง เช่น “ช่วยอธิบาย…” ควรใช้ “อ้างอิงจากข้อมูลที่มี…” แทน

✅ 3. ใช้ Self-Verification ให้ AI ตรวจสอบตัวเอง

🔹 เพิ่มกลไกให้ AI ตรวจสอบว่าคำตอบมีหลักฐานสนับสนุนจริงหรือไม่
🔹 ใช้เทคนิค Chain-of-Thought (CoT) หรือ Self-Consistency

plaintextคัดลอกแก้ไขก่อนตอบคำถาม โปรดตรวจสอบว่าคุณสามารถอ้างอิงข้อมูลจริงได้หรือไม่
หากไม่มีหลักฐาน ให้ตอบว่า "ฉันไม่สามารถให้คำตอบได้"

✅ 4. ใช้ Temperature ต่ำเพื่อให้ AI ไม่เดาข้อมูล

🔹 ตั้งค่า Temperature ต่ำ (0.1 – 0.3) เพื่อให้ AI ตอบอย่างแม่นยำมากขึ้น
🔹 ลดโอกาสที่ AI จะสุ่มสร้างข้อมูลใหม่เอง

✅ 5. เพิ่ม Human Feedback & Review

🔹 ให้ผู้ใช้สามารถ Report คำตอบผิด
🔹 ใช้ Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) ปรับแต่งโมเดลให้ลด Hallucination


📌 สรุป

วิธีป้องกันรายละเอียด
ใช้ RAGดึงข้อมูลจริงจากฐานความรู้ให้ AI ใช้ตอบคำถาม
Prompt Engineeringบังคับให้ AI ใช้เฉพาะข้อมูลที่มี ไม่ให้เดาคำตอบ
Self-Verificationให้ AI ตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบก่อนแสดงผล
ลด Temperatureควบคุมให้ AI ตอบตามข้อมูล ไม่สร้างคำตอบเอง
Human Feedbackให้ผู้ใช้รีวิวคำตอบผิด และปรับปรุงโมเดล

💡 Hallucination เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะสำหรับ AI ที่ให้ข้อมูลลูกค้า, ด้านกฎหมาย, การแพทย์ หรือการเงิน 🚀

Hallucination เกี่ยวข้องกับ Deep Learning อย่างไร?

Hallucination ในบริบทของ Deep Learning หมายถึง การที่โมเดลสร้างข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริง หรือบิดเบือนความจริง โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวข้องกับ Natural Language Processing (NLP), Computer Vision (CV), และ Generative Models

Deep Learning ทำงานโดยอาศัย สถิติและแพทเทิร์นของข้อมูลที่เคยเรียนรู้ แต่ไม่ได้เข้าใจข้อมูลในเชิงตรรกะหรือบริบทเช่นมนุษย์ ดังนั้นเมื่อโมเดลพยายามสร้างหรือสรุปข้อมูลที่ขาดหายไป อาจทำให้เกิด Hallucination ได้จากสาเหตุต่อไปนี้:

  1. โมเดลพยายามเติมเต็มข้อมูลที่ขาดไป
    • หากโมเดลขาดข้อมูลที่ชัดเจน มันจะ “เดา” คำตอบจากแพทเทิร์นที่เคยเรียนรู้
    • เช่น ChatGPT หรือ AI แปลภาษา อาจแต่งประโยคที่ฟังดูสมเหตุสมผลแต่ไม่มีอยู่จริง
  2. การ Overgeneralization (การเหมารวมมากเกินไป)
    • โมเดลเรียนรู้จากตัวอย่างจำนวนมาก และอาจใช้แพทเทิร์นเหล่านั้น อย่างผิดพลาดในบริบทที่ไม่เหมาะสม
    • เช่น AI อาจสรุปว่าทุกประเทศในยุโรปใช้เงินยูโร ซึ่งไม่ถูกต้อง
  3. ข้อมูลที่ใช้ฝึกมีอคติ (Bias in Training Data)
    • หากโมเดลถูกฝึกด้วยข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือมีอคติ อาจทำให้โมเดลสร้างข้อมูลที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง
  4. โมเดล Generative ใช้ Probabilistic Sampling
    • โมเดลอย่าง GPT-4, DALL·E, และ Stable Diffusion ใช้การสุ่มบางส่วนในการสร้างผลลัพธ์
    • อาจทำให้ได้ข้อมูลที่ผิดหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

🔹 วิธีแก้ปัญหา Hallucination ใน Deep Learning

เนื่องจาก Hallucination เป็นปัญหาสำคัญใน Deep Learning นักวิจัยได้พัฒนาแนวทางลดปัญหานี้ เช่น:

1. Fact-checking & External Verification (ตรวจสอบข้อเท็จจริง)

  • ใช้ ฐานข้อมูลภายนอก เช่น Wikipedia หรือเอกสารทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้ AI อ้างอิงข้อมูลได้ถูกต้อง
  • ให้ AI ตรวจสอบคำตอบของตัวเองก่อนนำเสนอ

2. Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) (ใช้ฟีดแบ็กจากมนุษย์ปรับปรุงโมเดล)

  • ใช้ การให้คะแนนจากมนุษย์ (Human Feedback) เพื่อปรับพฤติกรรมของโมเดลให้สร้างข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น
  • ใช้ใน ChatGPT, Google Bard และ Claude AI

3. Confidence Estimation (การประเมินความมั่นใจของโมเดล)

  • ให้ AI บอกระดับความมั่นใจ ของคำตอบ เช่น “ข้อมูลนี้อาจไม่ถูกต้อง 100%”
  • ใช้ Uncertainty Estimation เพื่อช่วยลดข้อมูลผิดพลาด

4. Hybrid Models (รวมโมเดลหลายแบบเข้าด้วยกัน)

  • ใช้ Symbolic AI + Deep Learning เพื่อให้โมเดลเข้าใจตรรกะมากขึ้น
  • ใช้ AI หลายตัวตรวจสอบกันเอง (Cross-Validation AI)

สรุปความแตกต่าง Catastrophic Forgetting และ Hallucination

หัวข้อCatastrophic ForgettingHallucination
คืออะไร?โมเดลลืมความรู้เก่าเมื่อต้องเรียนรู้สิ่งใหม่โมเดลสร้างข้อมูลปลอมขึ้นมาเอง
เกิดจาก?Sequential Learning ที่ทำให้ข้อมูลเก่าหายไปโมเดลพยายามเติมข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริง
ตัวอย่างโมเดลที่เคยเล่นเกม A ได้ แต่พอฝึกเล่นเกม B แล้วลืม AAI อ้างอิงบทความหรือบุคคลที่ไม่มีอยู่จริง
แนวทางแก้ไขใช้ Replay Mechanism, Regularizationเพิ่ม Fact-checking, ใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้

ทั้งสองปัญหานี้ Catastrophic Forgetting และ Hallucination อาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้ เช่น หากโมเดลถูก fine-tune บ่อยๆ อาจเกิด Catastrophic Forgetting ทำให้ข้อมูลเก่าหายไป และหากข้อมูลใหม่ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้เกิด Hallucination ได้เช่นกัน 🚀


ตัวอย่างการเกิด Hallucination ใน AnythingLLM

ทีนี้ เรามาพิจารณา กรณีศึกษาการเกิด Hallucination ใน AnythingLLM กัน

วิธีป้องกัน Hallucination ใน AnythingLLM

AnythingLLM เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ AI ใช้ข้อมูลภายในองค์กรเพื่อปรับปรุงการตอบคำถามแบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ซึ่งช่วยลดปัญหา Hallucination ได้ แต่ยังคงมีบางกรณีที่ AI อาจสร้างคำตอบผิดพลาดได้

🔍 สาเหตุที่ AI ใน AnythingLLM อาจเกิด Hallucination

  1. ข้อมูลไม่ครบถ้วน → หากไม่มีข้อมูลเกี่ยวข้องในฐานข้อมูล AI อาจเดาคำตอบเอง
  2. Retrieval ไม่แม่นยำ → ระบบดึงข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากพอ
  3. การตั้งค่าของ LLM ไม่เหมาะสม → ค่าพารามิเตอร์ เช่น Temperature สูงเกินไป อาจทำให้ AI คิดเองมากขึ้น
  4. ไม่ได้บังคับ AI ให้ตอบตามข้อมูลที่มีเท่านั้น

วิธีป้องกัน Hallucination ใน AnythingLLM

1️⃣ ปรับปรุงข้อมูลที่ใช้ดึง (Retrieval Optimization)

💡 ทำให้ AI ดึงข้อมูลที่ถูกต้องจากเอกสารก่อนสร้างคำตอบ

🔹 ใช้ Hybrid Search (Vector + Keyword Search)

  • ค่าเริ่มต้นของ AnythingLLM ใช้ Vector Search (FAISS, Pinecone, ChromaDB) ซึ่งบางครั้งอาจพลาดคำสำคัญ
  • ควรใช้ Hybrid Search (เช่น Vector + BM25) เพื่อให้ค้นหาได้แม่นยำขึ้น

🔹 เพิ่มจำนวนเอกสารที่ดึง (Top-K Documents) เป็น 3-5

  • ค่าเริ่มต้นของ RAG อาจดึงแค่ 1-2 เอกสาร แต่บางครั้งไม่เพียงพอ
  • ใน Settings ของ AnythingLLM ให้เพิ่ม Top-K Documents เป็น 3-5

🔹 จัดระเบียบข้อมูลให้ดีขึ้น

  • ใช้ Chunking (แบ่งข้อมูลเป็นส่วนๆ) ให้มีขนาด 200-500 tokens
  • ลบข้อมูลซ้ำซ้อนที่อาจทำให้ AI ตอบผิด

2️⃣ ปรับแต่ง Prompt ให้ AI ตอบตามข้อมูลจริง

💡 บังคับให้ AI ใช้เฉพาะข้อมูลจาก RAG เท่านั้น

📌 ตัวอย่าง Prompt ที่ดี

plaintextคัดลอกแก้ไขตามข้อมูลที่ดึงมา:
{context}

โปรดตอบคำถามโดยใช้เฉพาะข้อมูลข้างต้น
หากไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ตอบว่า "ขออภัย ฉันไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องในขณะนี้"

✅ ลดโอกาสที่ AI จะเดาข้อมูลเอง
✅ กระตุ้นให้ AI แจ้งเมื่อไม่มีข้อมูล

📌 ตัวอย่าง Prompt ที่ไม่ดี (เสี่ยง Hallucination)

plaintextคัดลอกแก้ไขโปรดอธิบายเกี่ยวกับ {query} โดยละเอียด

❌ AI อาจเดาคำตอบเองแม้ไม่มีข้อมูล


3️⃣ ใช้ Self-Verification ให้ AI ตรวจสอบตัวเอง

💡 ให้ AI ตรวจสอบว่าคำตอบมีหลักฐานสนับสนุนจริงหรือไม่

📌 เพิ่มขั้นตอนให้ AI ตรวจสอบคำตอบก่อนส่งให้ผู้ใช้

plaintextคัดลอกแก้ไขก่อนตอบคำถาม โปรดตรวจสอบว่า:
1. คำตอบของคุณตรงกับข้อมูลที่ให้มาหรือไม่?
2. มีหลักฐานจากเอกสารที่ดึงมาหรือไม่?
3. หากไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ตอบว่า "ขออภัย ฉันไม่มีข้อมูลนี้"

✅ ทำให้ AI ตอบเฉพาะสิ่งที่อ้างอิงได้


4️⃣ ปรับค่า Temperature และ Max Tokens

💡 ลดความสร้างสรรค์ของ AI เพื่อให้ตอบตามข้อมูลจริง

📌 ค่าแนะนำสำหรับ AnythingLLM

  • Temperature = 0.2 – 0.3 → ลดโอกาสที่ AI จะเดาคำตอบเอง
  • Max Tokens = 512 – 1024 → จำกัดความยาวคำตอบเพื่อป้องกัน AI แต่งเรื่อง

5️⃣ ให้ผู้ใช้สามารถ Report คำตอบผิด & ปรับปรุงฐานข้อมูล

💡 เพิ่มระบบ Feedback เพื่อให้ AI แม่นยำขึ้นในระยะยาว

🔹 เปิดให้ผู้ใช้ ให้คะแนนคำตอบ หรือ Report หากคำตอบผิด
🔹 อัปเดตข้อมูลใหม่เสมอ → หากพบว่า AI ตอบผิดบ่อย แสดงว่าข้อมูลที่ใช้ยังไม่ครอบคลุม
🔹 ใช้ Human-in-the-loop (HITL) → ให้มีคนตรวจสอบคำตอบของ AI เป็นระยะ


🔥 สรุปแนวทางลด Hallucination ใน AnythingLLM

ปัญหาวิธีแก้ไข
AI ตอบมั่วเมื่อไม่มีข้อมูลบังคับให้ AI ตอบว่า “ไม่มีข้อมูล” แทนที่จะเดา
ดึงข้อมูลผิดพลาดใช้ Hybrid Search (Vector + Keyword Search) และเพิ่ม Top-K Documents
AI ตอบไม่ตรงกับฐานข้อมูลใช้ Self-Verification ให้ AI ตรวจสอบคำตอบก่อนส่ง
คำตอบยาวเกินไปหรือแต่งเรื่องเองลด Temperature และ Max Tokens
ข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนปรับปรุงเอกสาร และเปิดให้ผู้ใช้ Feedback

💡 หากต้องการปรับแต่ง Prompt หรือการตั้งค่าให้ละเอียดขึ้น บอกมาได้เลย! 🚀

ที่มา : langchain-ai.github.io

Tagged in :

Nich PR Group Avatar

Nich PR

Page

ยกระดับธุรกิจด้วย Digital Marketing Innovation และการประยุกต์ใช้ AI และ SEO Solutions ที่คู่แข่งตามไม่ทัน! เว็บไซต์เพิ่มการติดอันดับและส่วนแบ่งการตลาดแข่งขันสูง มั่นคง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเสริมสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง เพื่อเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง ร่วมเปลี่ยนแปลงอนาคตธุรกิจของคุณกับเรา วันนี้!