ปัจจัย SEO สำหรับ Google เป็นสิ่งที่ต้องนึกถึง หลังจากที่ได้ทำเว็บไซต์มาระยะเวลาหนึ่ง (กรณีของ NichPR.com คือ 2 เดือน) และหลังจากที่ได้เขียนบทความแต่งตัวเว็บและเพจ ก็ถึงเวลาตรวจสอบประสิทธิภาพด้าน SEO ในบทความนี้ จะเขียนถึงการใช้เครื่องมือฟรี ออนไลน์ในการวิเคราะห์ 3 แหล่งเครื่องมือ
แน่นอนว่าหัวใจสำคัญของของการมีเว็บไซต์ คือ ปัจจัย SEO และส่วนใหญ่ก็เพื่อ Google ซึ่งปัจจัยการจัดอันดับของ Google ก็มีเยอะทีเดียว โดย Google Search Central ได้ให้ข้อมูลไว้มากมาย
ทั้งนี้สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ที่ Google Search Status Dashboard ซึ่งล่าสุดคือ August 2024 core update มีใจความโดยสรุปคือ
Google ได้เปิดตัวการอัปเดต August 2024 Core Update เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเนื้อหาคุณภาพสูงที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ และลดเนื้อหาที่มุ่งเน้นการเพิ่มการจัดอันดับในผลการค้นหา (SEO) ที่ไม่มีคุณค่า
ผลกระทบ
- เว็บไซต์ขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบในทางลบจากการอัปเดต Helpful Content เมื่อเดือนกันยายน 2023 จะเริ่มเห็นสัญญาณบวกในการจัดอันดับและการค้นหาของ Google
- เป็นการย้ำเตือนว่า SEO ไม่ใช่งานที่ทำเสร็จแล้วลืมไป แต่เป็นความท้าทายที่ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เป็นสำคัญ
- Helpful content update (HCU) คือการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมหรือวิธีคิดในการค้นหาของ Google ที่เน้นๆ ไปที่การจัดอันดับผลการค้นหาเว็บไซต์เอาเฉพาะที่มีเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้จริง ๆ และให้ราคาเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจระบบค้นหา (Search engine) น้อยลง เรียกว่าเน้นที่ “ประโยชน์– ความน่าเชื่อถือ– ความเป็นจริง” คือเอาใจ “คนค้น” มากกว่า “คนทำเว็บ”
- จับผิดลิงก์สแปมประเภท “buying links” ที่ใช้เพื่อ “สร้าง backlink” (สายเทา ลำบากละทีนี้)
ซึ่งในการจัดอันดับเว็บไซต์นี้ ทาง Google ได้ประยุกต์ใช้ AI ในการทำงาน ที่ชัด ๆ คือ
- Bidirectional Encoder Representations from Transformers (BERT) เป็นโมเดลภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Google ในปี 2018 โดดเด่นในการสร้าง embeddings ทำให้ AI เข้าใจภาษา “คน” อย่างเรา ๆ ว่าต้องการสิ่งใด
- MUM (Multitask Unified Model) คือ เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาโดย Google เพื่อปรับปรุงความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่ซับซ้อนและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่คำถามไม่มีคำตอบที่ชัดเจนหรือจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง
- RankBrain คือ อัลกอริธึมการค้นหาที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) ซึ่งพัฒนาโดย Google และเปิดตัวในเดือนตุลาคมปี 2015 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้ Google เข้าใจความหมายของคำค้นหาที่ซับซ้อนและให้ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมี AI ที่เคยใช้และเลิกใช้ไปแล้ว เช่น Hummingbird, Panda และ Penguin เป็นต้น
ปัจจัย SEO ที่สำคัญ
Google จะนำเสนอผลการค้นหาให้พวกเรา ผ่านอัลกอริทึมของการ Search ที่ใช้ ซึ่งพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเพื่อแสดงข้อมูลที่ (คิดว่า) เป็นประโยชน์ต่อเรามากที่สุด ซึ่งจะประมวลรวมข้อความในการค้นหา ความเกี่ยวข้อง และความสามารถในการใช้งานของหน้าเว็บ ความน่าเชื่อถือ ดีงามของแหล่งข้อมูล ตลอดจนตำแหน่งที่เรา (ผู้ค้น) อยู่และการตั้งค่าไว้ หัวข้อต่อไปนี้เป็นการสรุปจาก “วิธีสร้างผลการค้นหาโดยอัตโนมัติ“
- เริ่มต้นจาก “คำค้นหา” หรือ “Keyword” เป็นการวิเคราะห์คำค้นหาที่ผู้ใช้ เพื่อค้นหา ถอดรหัส ให้ได้สิ่งที่ผู้ค้นต้องการจริง ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้คำค้นหา และคำที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ ไม่ได้ตรงกันเป๊ะ ๆ ซึ่งนอกจาก “คำ” ที่ใช้ค้นหาแล้ว AI ของ Google ยังจะพิจารณาเรื่อง Trends ของคำนั้น ๆ ด้วย
- วิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา เพื่อค้นหาเว็บไซต์ หน้าเว็บอันเป็นแหล่งข้อมูลที่ตรงกับ “คำค้น” ในข้อ 1 เช่น ถ้าเราค้นหาคำว่า “แมว” Google จะคิดว่าว่าเราไม่ได้ต้องการข้อมูลหน้าที่มีคำว่า “แมว” อย่างเดียวเป็นร้อยคำ ดังนั้น อัลกอริทึมจึงจะประเมินว่าหน้าหนึ่งๆ มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องซึ่งมากกว่าแค่คีย์เวิร์ดว่า “แมว” หรือไม่ เช่น รูป วิดีโอ หรือแม้แต่รายชื่อสายพันธุ์ เป็นต้น
- วิเคราะห์คุณภาพของเนื้อหา จากผลการวิเคราะห์จนได้รายการเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในข้อ 2 แล้ว ต่อไปจะเป็นการคัดกรองคุณภาพ โดยจะเลือกเนื้อหาที่คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ค้นมากที่สุด โดยพิจารณาจากเนื้อหาในเว็บไซต์ที่ถูกผู้อื่น หรือเว็บอื่นกล่าวถึง อ้างอิงที่เด่นชัด ซึ่งถือว่ามีความน่าเชื่อถือนั้นเอง
- ลำดับต่อไปคือวิเคราะห์ “หน้าเว็บ” ว่าเว็บใดในรายการข้อ 3 ที่ “เป็นมิตร” กับผู้คนและเทคโนโลยีที่สุด เช่น ไว อ่านง่าย ใช้ได้ดีกับทุกอุปกรณ์ เป็นต้น
- การตั้งค่าของ “คนค้น” เชน ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ประวัติการค้น เช่น คำว่า “ฟุตบอล” ในยุโรป ไทย อเมริกา อาจได้ผลที่แตกต่างกันตามความหมายของคำนี้ ซึ่งในแต่ละพื้นที่มีนัยยะที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ยังรวมถึงฟีเจอร์บางอย่างที่ Google ปรับแต่งผลการค้นหาขึ้นเป็นพิเศษ เช่น “กิจกรรมใกล้ฉัน”
จากข้อมูลข้างต้น ทำให้เรารู้แล้วว่า อะไร คือปัจจัยสำคัญ ที่เราต้องทำเว็บไซต์เราให้ถูกใจ Search Engine ให้มากที่สุด
เทคนิค SEO สำหรับเว็บไซต์ภาษาไทย
วิเคราะห์คีย์เวิร์ด:
- ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและมีปริมาณการค้นหาสูง
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush
- พิจารณาความยากง่ายในการแข่งขันของคีย์เวิร์ด
ปรับปรุงเนื้อหา:
- เขียนเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจสำหรับผู้ใช้
- ใส่คีย์เวิร์ดที่เลือกไว้ในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ
- ใช้หัวข้อ (H1, H2, H3) เพื่อแบ่งเนื้อหาให้เป็นส่วนๆ
- เพิ่มรูปภาพและวิดีโอเพื่อประกอบเนื้อหา
ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์:
- ทำให้โครงสร้างเว็บไซต์เป็นมิตรต่อผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
- ใช้ URL ที่สั้นและเข้าใจง่าย
- สร้าง Sitemap เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
สร้าง Backlink:
- สร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ
- เลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- หลีกเลี่ยงการซื้อ Backlink
ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์:
- ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
- บีบอัดรูปภาพ
- ลดขนาดไฟล์
ติดตามและวิเคราะห์ผล:
- ใช้ Google Analytics เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์
- ปรับปรุงกลยุทธ์ SEO อย่างต่อเนื่อง
การตรวจเช็ค ปัจจัย SEO Score ฟรี
เริ่มด้วยการค้นหาเครื่องมือตรวจเช็ค ฟรีใน Google ด้วยคำว่า “CHECK SEO WEBsite” ซึ่งก็ได้เลือกเว็บไซต์ให้บริการฟรีมา 3 อันดับต้น ๆ คือ
ทีนี้ เรามาดูกันว่า แต่ละเว็บไซต์ ที่ใช้ฟรีนี้ ใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการคิด SEO Score ให้กับเว็บไซต์ NichPR.com
freetools.seobility.net
เว็บไซต์นี้ นำเสนอผลการวิเคราะห์ ปัจจัย SEO เป็น Dash board ใน 6 ประเด็นหลัก คือ
- Meta information
- Page quality
- Page structure
- Link structure
- Server
- External factors
ซึ่งทั้ง 6 หัวข้อปัจจัยหลักนั้น ก็จะมีรายละเอียดพร้อมระดับความสำคัญชี้แจง แนะนำให้เราแก้ไขให้ด้วย นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์ Keywords ในเว็บไซต์ให้ วิเคราะห์เว็บคู่แข่งที่คล้ายกันให้อีกด้วย เป็นของฟรี ที่น่าใช้
seoptimer.com
เว็บไซต์ seoptimer.com จะสร้างรายงานผลการตรวจ ปัจจัย SEO ใน 5 มิติ ในรูปของ Dash board เช่นกัน คือ
- On-Page SEO
- Links
- Usability
- Performance
- Social
นอกจากระดับคะแนนที่คล้ายการตัดเกรดแล้ว ยังแถมกราฟใยแมงมุม ทำให้เห็นมิติ และเปรียบเทียบกันได้ (ถ้านำเว็บไซต์คู่แข่งมาเปรียบเทียบ) ตามมาด้วยข้อเสนอแนะ และระดับความสำคัญ ส่วนในคำอธิบาย คำแนะนำการแก้ปัญหา จะมีเพียงสั้น ๆ เพื่อให้เราไปสืบค้นวิธีการต่อไป ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษก็คือรายงานการวัดความเร็วในการ load ที่ทำเป็นมิเตอร์ให้ดูชัดเจน
seotesteronline.com
เว็บไซต์สุดท้ายที่จะทดลองใช้ในการวิเคราะห์ SEO ในบทความนี้ คือ seotesteronline.com ซึ่งก็นำเสนอในรูปของ Dash board ด้วยเช่นกัน แต่จะแบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ ๆ คือ
Base
ซึ่งในแต่ละหมวด มีรายการปลีกย่อยด้าน SEO คือ
Base
- Search Preview ซึ่งประกอบด้วย Google Snippet, Title, Title Coherence, Meta Description, Favicon, SEO Friendly URL และ Microdata
- HTML Structure ประกอบด้วย Viewport, Meta ViewPort, DocType Valid HTML 5, Deprecated Tags และ Uses Passive Event Listeners
- Crawlability ประกอบด้วย Page is Crawlable, Links are Crawlable, Canonical, Sitemap และ Robots.txt
- Security ประกอบด้วย Mixed Contents, HTTPS และ iFrame
- Languages ประกอบด้วย HTML lang attribute, HTML lang valid และ Href Lang
ในหมวดนี้นั้น จะมีให้ทั้งผลคะแนนในแต่ละข้อย่อย ตัวอย่าง คำแนะนำ ครบ จบในที่เดียว แต่ถ้าต้องการเชิงลึก ก็ต้องสมัครสมาชิก
Content
มีรายการย่อยหลายรายการ ได้แก่ H1,H1 Coherence,H2,Heading Order,Low Word Count,Valid SEO Slug,Image Missing Alt,Links have descriptive text,Text/HTML Ratio,Title on Tag
Performance
มีรายการย่อย คือ First Contentful Paint,Time to Interactive,Speed Index,Total Blocking Time,Largest Contentful Paint และ Cumulative Layout Shift
Social
รายการย่อย ๆ ได้แก่ Opengraph,Twittercard,Social Plugin และ Facebook Popularity
ภาพโดยรวม ถือว่าเป็นแหล่งเครื่องมือฟรี ที่น่าใช้ ครบจบที่เดียว
ทั้ง 3 เครื่องมือฟรีนี้ มีเอกลักษณ์โดดเด่นซึ่งบางอย่างคล้ายกัน บางอย่างแตกต่างกัน เช่น seotesteronline.com และ freetools.seobility.net ที่มีคำอธิบาย และแนวทาง วิธีการแก้ไขไว้ให้ค่อนข้างครบ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคงไม่มีเครื่องมือใด หรือเว็บไซต์ไหน ที่รู้ซึ้งถึงปัจจัย SEO ที่ทาง Google หรือ Search engine เจ้าอื่น ๆ ได้พยายามคิดค้นขึ้นมาอย่างแน่นอน จึงขอเพิ่มเติมเป็นคำแนะนำ ดังนี้
คำแนะนำการใช้เครื่องมือตรวจสอบ SEO ของเว็บไซต์
- ถ้าเป็นธุรกิจ หรือคู่แข่ง หรือการตลาด มีการแข่งขัน “ไม่สูง” นัก แนะนำให้ใช้เพียงเครื่องมือใด เครื่องมือหนึ่ง ตรวจสอบ ก็เพียงพอ
- แต่ถ้าเป็นธุรกิจแข่งขันสูง คู่แข่งทำ SEO อย่างหนักหน่วง มีการซื้อโฆษณา อันนี้ คงต้องใส่ใจ SEO เป็นพิเศษ ต้องใช้ครบทั้ง 3 เครื่องมือ ก็จะเป็นการป้องกันไว้ก่อน
